MKT Team
ขับขี่หลายท่านคงเจอปัญหาขณะทำการเร่งแซงแล้วไม่พ้น หมายความว่าไม่สามารถแซงรถยนต์คันที่ขับนำหน้าไม่ได้ก็เท่ากับว่าต้องยกคันเร่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ลักษณะดังกล่าว อาจนำพาไปสู่อุบัติเหตุได้ เมื่อเคยเจอเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วทำให้ไม่ค่อยกล้าขับแซงเท่าใดนัก ทั้งที่มีความต้องการที่จะขับขึ้นหน้าอย่างมาก ดังนั้น ประสบการณ์ในการขับขี่อย่างนี้ ผู้ขับขี่จะต้องทำความเคยชินในรถยนต์ของตนเอง ว่าสมรรถนะของรถยนต์ของเรานั้นเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่รถยนต์ในปัจจุบันจะเป็นระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ แต่ถึงกระนั้นระบบดังกล่าวยังมีข้อมูลจำกัดอยู่บ้างโดยขออธิบายดังต่อไปนี้


ในรถยนต์ที่มีระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติหรือที่เรียกว่าเกียร์อัตโนมัติ ระบบดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกสบายอย่างมากในเรื่องของการเปลี่ยนเกียร์ , การเข้าเกียร์และอื่นๆ , จริงอยู่ว่าขึ้นชื่อว่าอัตโนมัติ การทำงานของระบบผู้ขับขี่ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากนัก ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ธรรมชาติของเกียร์อัตโนมัติ การทำงานของระบบผู้ขับขี่ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากนัก ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าธรรมชาติของเกียร์อัตโนมัติ เมื่อเข้าเกียร์เดินหน้าแล้ว เกียร์จะไปในเกียร์ที่สูงขึ้น ตามความเร็วรอบของเครื่องยนต์ กลไกการทำงานก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ


ความเคยชินของผู้ที่ขับขี่เกียร์อัตโนมัติ หากต้องการเร่งก็จะทำการกดคันเร่งทันทีทันโดยการ KICK DOWN เกียร์ก็จะเปลี่ยนไปในเกียร์ที่ต่ำลง หลังจากนั้นผู้ขับขี่ก็ทำการเร่งเหมือนเดิม แต่ปัญหามีอยู่ว่าขณะที่เราทำการเร่งแซงอยู่นั้น เมื่อถึงรอบที่กำหนดไว้ เกียร์จะเปลี่ยนไปในเกียร์ที่สูงขึ้น ถ้าหากว่าในแซงนั้นมีความยาวที่มาก พร้อมกับกำลังมีรถยนต์วิ่งสวนทางมา อาจไม่ทันการณ์ โอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมมีสูง ดังนั้น ให้กระทำการดังนี้

หากมีรถยนต์ของท่านมีปุ่ม OVER DRIVE ให้ทำการปิดปุ่มดังกล่าว การกระทำเช่นนี้เพื่อสร้างรอบของเครื่องยนต์ พร้อมกับการลากเกียร์ ทำให้มีพละกำลังมากขึ้น สังเกตได้จากจะมีไฟโชว์บนมาตรวัด ที่เป็นสีส้มหรือสีเหลือง แล้วทำการเหยียบคันเร่ง เมื่อแซงพ้นแล้ว ก็ทำการกระทำกดปุ่ม OVER DRIVE เหมือนเดิม(เปิดทำงาน ไฟไม่โชว์)เกียร์จะเปลี่ยนไปในเกียร์จะเปลี่ยนไปในเกียร์ที่สูงขึ้นเพียงเท่านั้นก็จะปลอดภัย
หากรถยนต์ของท่านคันเลื่อนเกียร์เป็นแบบขั้นบันใด ก็ให้ทำการโยกคันเกียร์ในตำแหน่งที่ต่ำลง โดยส่วนใหญ่จะโยกคันเกียร์เข้าหาผู้ขับขี่ กระทำดังกล่าวเหมือนกับการเปิดปุ่ม OVER DRIVE เพี่ยงแต่ต้องโยกคันเกียร์เอง เมื่อแซงพ้นแล้วก็โยกคันเกียร์มาในตำแหน่งเดิม เพียงแค่นี้การเร่งแซงก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
หากรถของท่านมีปุ่มเพิ่มกำลัง (PWR) เมื่อต้องการจะเร่งแซง ให้ทำการกดปุ่มดังกล่าวค้างไว้ (เปิดการทำงาน) จะมีไฟโชว์บนมาตรวัดสีเขียว รอไว้ก่อนได้เลย เมื่อใดที่มีการกดคันเร่งทันทีทันใดระบบจะทำงานทันที การทำงานของระบบจะทำการลดเกียร์ให้ต่ำลงและจะลากเกียร์ให้ยาวขึ้นกว่าปกติ อันนี้จะไม่เหมือนกับ 2 อย่างแรก แต่ถ้าไม่ต้องการท่านสามารถ กระทำเหมือน 2 ข้อแรกได้ เช่นเดียวกัน


ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการเร่งแซง ขอให้คำนึงถึงปัจจัยรอบข้างไม่ว่าจะเป็นรถที่กำลังจะแซง , รถที่วิ่งสวนทางมา , ลักษณะของเส้นทาง , รถยนต์ของตนเอง , ผู้ขับขี่ และ อื่น ๆ อย่างไรแล้ว ความไม่ประมาท นำมาซึ่งความปลอดภัยท้ายนี้ ขอให้อ่านทุกท่าน ใช้รถยนต์อย่างคุ้มค่าสูงสุดครับ
MKT Team
ปัจจัยหลัก คือ รถยนต์สมัยใหม่ได้มีเทคโนโลยีที่สูงขึ้น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าในการทำงาน ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนมาก (อายุของรถตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) เพราะว่ารถยนต์สมัยก่อนอาศัยพลังงานไฟฟ้าในการทำงานแค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์, การจุดระเบิด และอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น

แต่ในปัจจุบัน ในรถยนต์ 1 คัน มีการนำพลังงานไฟฟ้าไปใช้งานตั้งแต่ ยังมิได้ไขกุญแจรถเลย นั่นก็คือ ระบบกันขโมย เพราะในระบบจำเป็นจะต้องมีไฟเลี้ยงตลอดเวลา

นอกจากนี้ นาฬิกาก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา สังเกตได้หลังจาก บิดกุญแจเพื่อเริ่มการสตาร์ท นาฬิกาก็ขึ้นตรงตามเวลาปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีไฟห้องโดยสารก็ติดหลังจากเปิดประตูอีกด้วย แต่ทั้ง 2 ที่กล่าวมานี้ ก็มีมานานแล้วเช่นกัน

ในเมื่อกล่าวถึงไฟในห้องโดยสาร (ขออนุญาต) ทำให้นึกถึง NEW CAMRY 3.5 ลิตร ขึ้นมา กล่าวคือ ใน CAMRY 3.5 ลิตร มีระบบที่ช่วยในการมองเห็นเมื่อยามผู้ขับขี่เดินมาบริเวณรถในรัศมีที่กำหนด ไฟห้องโดยสารจะติดให้เองโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อออกห่างจากรัศมีก็จะดับให้เองโดยอัตโนมัติ เช่นกัน

ขอย้อนกลับไปว่า ทำไม แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานน้อยลงในรถยนต์ปัจจุบัน ซึ่งในรถยนต์ปัจจุบัน หรือ สมัยใหม่ได้ถูกพัฒนาให้ชิ้นส่วนต่างๆถูกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งในระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็อาศัยพลังงานไฟฟ้าในการทำงาน ดังนั้น อายุการใช้งานของแบตเตอรี่จึงสั้นลง

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างบางอย่างที่อยู่ในรถยนต์ ดังนี้
เริ่มจากเครื่องยนต์

ลิ้นเร่งไฟฟ้า ซึ่งสมัยก่อนใช้สายเคเบิ้ลในการทำงานสมัยนี้ อาศัยไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์
กล่องควบคุม (ECU) เครื่องยนต์ เครื่องยนต์สมัยก่อนไม่มี ทำงานตามจังหวะของกลไกทำงาน
เซ็นเซอร์ ตัวจับสัญญาณและตัวส่งสัญญาณ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ สมัยก่อนก็ไม่มี
เกียร์

เซ็นเซอร์ความเร็ว สมัยก่อนเป็นสายโลหะ สมัยนี้ส่งสัญญาณทางไฟฟ้า
เกียร์อัตโนมัติ ใช้โซลินอยด์วาล์ว ทำงานด้วยไฟฟ้าเข้าร่วมในการทำงาน สมัยก่อนไม่มี
ช่วงล่าง

เซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น โรเตอร์ ABS จะช่วยส่งสัญญาณทางไฟฟ้าเข้ากล่องควบคุม ECU

ส่วนพวกอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น AIR BAG เมื่อก่อนใช้แบบกลไก (เหมือนไกปืน) แต่บัดนี้ใช้ไฟฟ้าและความเร็วในการทำงานสูง, ระบบปรับอากาศก็เป็นแบบอัตโนมัติ, เครื่องเสียง, จอ DVD และ NAVIGATOR (ระบบนำทาง) เป็นต้น จะเห็นได้ว่าใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน, สั่งการ, ควบคุม, เก็บข้อมูล และอื่นๆ อีกมากมาย
และที่กล่าวมาเกือบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น คงไม่แปลกใจใช่ไหมครับว่า ทำไมอายุการทำงานของแบตเตอรี่สั้นลง สำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งปัจจุบันถูกใช้กันอย่างแพร่หลายนั้น อายุของแบตเตอรี่จะสั้นกว่ารถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ถือว่าเป็นปกติครับ และเกียร์ธรรมดาในกรณีแบตเตอรี่อ่อน ก็ยังสามารถเข็นรถกระตุกติดได้ แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติแล้วละก็หมดสิทธิ์ครับ
เมื่อท่านนำรถเข้าตรวจเช็คกับทางศูนย์บริการ แล้วทางศูนย์บริการเสนอเปลี่ยน เพราะตรวจสอบแล้วว่าหมดอายุหรือเสื่อมสภาพ ก็ควรเปลี่ยน ด้วยเหตุผล คือ ขณะนี้ใช้ได้ แต่วันไหนเวลาไหนใช้ไม่ได้ ไม่รู้ (ทำก่อนเกิดปัญหาดีกว่า เกิดแล้วจึงทำ) ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ
MKT Team
รถยนต์สมัยใหม่ที่ถูกผลิตขึ้นในปัจจุบันนี้ จะมีอุปกรณ์ต่างๆมากมายกว่าแต่ก่อนมากไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี่ที่ไฮเทค มีระบบคอมพิวเตอร์ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันและหนึ่งในนั้นที่จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือระบบที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือระบบป้องกันการโจรกรรมของรถยนต์ ระบบดังกล่าวจะมีหรือไม่มีนั้นจะขึ้นอยู่กับเกรดและรุ่นของรถยนต์ และระบบทีกล่าวถึงคือ immobilizer หรือโค๊ดที่อยู่ในตัวของกุญแจนั่นเอง
ไม่ว่าจะมีลักษณะของตัวกุญแจที่มีชิพแยกออกจากตัวรีโมท หรือที่รวมอยู่เป็นชุดเดียวกันก็ตาม การทำงานของระบบจะเหมือนกัน อุปกรณ์ดังกล่าวจะถูกติดตั้งมาจากโรงงานเลย (มีการเซ็ทเข้ากับตัวรถยนต์) ตราบใดที่รถยนต์พบว่าโค๊ดตรงกับที่ได้ถูกบันทึกไว้ก็จะสามารถติดเครื่องยนต์ได้ แต่ถ้าหากว่าโค๊ดไม่ตรงกัน ทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะติดเครื่องยนต์ได้

ก่อนที่จะเลือกใช้รถยนต์ที่มีระบบดังกล่าวแน่นอนที่สุดทางพนักงานขายคงได้อธิบายให้รับทราบในระดับหนึ่งแล้ว หรือได้ศึกษาด้วยตนเองในระดับหนึ่งอะไรในทำนองอย่างนี้เป็นต้น ว่าระบบเป็นอย่างไร มีประโยชน์เช่นไร การทำงานเป็นอย่างไร เป็นต้น จริงอยู่ว่าไม่ว่าจะมีเทคโนโลยี่ที่ดีขนาดไหนในรถยนต์ พวกหัวขโมยก็ยังหาวิธีที่กระทำได้ทุกครั้งไป

รายละเอียดต่างๆของรถยนต์นั้นรวมถึงระบบที่มีชิพอยู่ในตัวกุญแจได้ถูกระบุอยู่ในคู่มือการใช้รถอยู่แล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่อยากจะขอเสริมให้ทราบ เพื่อประโยชน์สูงสุดที่ท่านผู้อ่านทุกท่านได้ใช้รถยนต์ ดังนี้ครับ

ไม่ควรให้กุญแจที่เป็น master แก่คนที่ไม่น่าไว้วางใจ
ควรเก็บกุญแจ master ไว้ในที่ที่ปลอดภัยเพราะดอกที่เป็น master สามารถออกคำสั่งต่างๆได้ในรถยนต์ของท่าน
หากมีการสูญหายของกุญแจดอกใดดอกหนึ่งให้รีบติดต่อศูนย์บริการโตโยต้าทันทีและนำกุญแจที่เหลือพร้อมกับรถยนต์ไปยังศูนย์บริการได้ทั่วประเทศเพื่อจัดการกับระบบ
ในบางรุ่นตัวกุญแจอาจจะแยกกับตัวรีโมท ก็ให้นำมายังศูนย์บริการทั้งหมดในคราวเดียวกัน เช่นกัน
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก ถ้าหากว่ากุญแจรถยนต์ของท่านมีการสูญหายทั้งหมดท่านจะต้องมีการจัดการทั้งระบบไม่ว่าจะเป็น มีการเปลี่ยนกุญแจรอบคัน กล่องควบคุมต่างๆและอื่นๆนั่นก็หมายความว่า ท่านจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างมาก(ขอย้ำ)ดังนั้น ห้ามทำกุญแจที่เป็นดอกmasterสูญหายอย่างเด็ดขาดครับ

อนึ่งข้อมูลที่ได้ชี้แจงมาแล้วนั้นได้มีการสูญหายกันมาพอสมควรแล้วครับ ดังนั้นอย่าให้กุญแจ(หลัก)สูญหายนะครับ สวัสดีครับ
MKT Team
ถ้าพูดถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ทุกวันนี้ นอกจากการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี และความปลอดภัยแล้ว การแข่งขันทางด้านการประหยัดน้ำมันนั้นนับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก และ ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆมากมายในวงการยานยนต์ ทำให้วันนี้ในตลาดโลกตัวเลขสถิติใหม่กำลังบังเกิดขึ้น

ที่บ้านเรา เราเคยตื่นเต้นว่าตัวเลขตัวเลข 20 กิโลเมตรลิตรน่าจะฟังดูแล้วน่าสนใจ แต่อย่าลืมว่านั่นเป็นรถเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 3 สูบ ที่อาจจะขับไม่ทันใจ เพราะ มาตรฐานใหม่ในเวทีโลกวันนี้คือ 40 ไมล์ต่อแกลลอน หรือประมาณ 16 กิโลเมตรต่อลิตรนั้น กำลังเป็นอะไรที่ใหม่มาก เมื่อพูดถึงตลาดในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ที่กำลังจะแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเร็วๆนี้



เมื่อไม่นานมานี้Honda Civic ใหม่ตั้งใจที่จะพิชิตตัวเลขดังกล่าวด้วยการออกเวอร์ชั่น High Efficient หรือ ที่เรียกว่า HF ที่จะวางจำหน่ายในไม่ช้านี้ มาทำตลาด โดยคาดหวังว่ารถรุ่นนี้จะผ่านการทดสอบของ EPA ที่ตัวเลข 41 ไมล์ต่อแกลลอนเมื่อวิ่งนอกเมือง ในขณะที่รุ่นปัจจุบันสามารถทำได้เพียง 25 ไมล์ต่อแกลลอนเมื่อวิ่งในเมือง ส่วนนอกเมืองทำได้ที่ 36 ไมล์ต่อแกลลอน หรือมีอัตราประหยัดที่ 10 และ 14.4 กิโลเมตรต่อลิตรตามลำดับนั่นเอง



การมาของ Civic นั้นทำให้ค่ายรถหลายเจ้าต้องตัวตามไปด้วย แต่ก่อนหน้านี้ค่ายรถยนต์มากมายได้ขีดเส้นมาตรฐานใหม่การประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ค่ายรถยนต์ที่คนไทยดูถูกดูแคลนสัญชาติเกาหลีอย่าง Hyundai ที่ส่ง New! Hyundai Elentra ใหม่ไปวาดลวดลายด้วยตัวเลข 40 ไมล์ต่อแกลลอนในทุกรุ่น ซึ่งมาพร้อมขุมพลัง 1.8 ลิตร 4 สูบ พร้อมระบบเกียร์ 6 สปีด ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ

แม้ว่า Hyundai จะเป็นรถที่กล่าวขานถึงมากที่สุดในเวทีโลกตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้ค่ายรถยนต์สายพันธุ์อเมริกันก็ฝากลวดลายความประหยัดเอาไว้เช่นกันด้วยตัวเลข 42 ไมล์ต่อแกลลอนหรือ ประมาณ16.8 กิโลเมตรต่อลิตร ใน chevrolet Cruze ECO ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.4 ลิตรพร้อมระบบเทอร์โบให้พลัง 138 แรงม้า ในขณะที่รุ่นอื่นๆนั้นยังมี ford fiesta ที่ต้องสั่งแพ็คเกจพิเศษ ที่ทิ้งห่างคู่แข่งทั้ง toyota และ Nissan Versa หรือ Tida บ้านเราให้นั่งมองตากันปริบๆ ในขณะที่ ford Focus 2012 ที่จะจำหน่ายในปลายปีนี้อย่างเป็นทางการยังไม่มีตัวเลขออกมาเปิดเผยแต่อย่างใด



อย่างไรก็ดี เส้น 16กิโลเมตรต่อลิตรนั้น จะเป็นการวัดประสิทธิภาพทางด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ในการประหยัดน้ำมันต่อไปในอนาคต ในรถยนต์กลุ่มที่ไม่ใช่เครื่องยนต์ไฮบริด ที่งานนี้เราคงต้องจับตากันว่า รถรุ่นใหม่ๆ คันไหนบ้าง ที่จะผ่านเส้นของมาตรฐานใหม่ ที่ทำให้เราเซฟเงินในกระเป๋าในขณะที่สมรรถนะการขับขี่ยังเร้าใจและวางใจได้เหมือนเดิม
MKT Team
รถมือสอง : ซื้อง่ายแต่เลือกยาก

เมื่อคุณคิดจะซื้อรถมือสอง ข้อดีของรถมือสอง คือ ราคาถูก แต่ท่านควรตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด เพราะรถที่ถูกใช้งานมาแล้วล้วนมีความเสี่ยงต่อสภาพความสึกเหรอของเครื่องยนต์ หากจะซื้อรถมือสองควรตรวจสอบอะไรบ้าง

1. สุมดประวัติประจำรถ
มักไม่ค่อยมี เพราะเจ้าของรถไม่พิถีพิถัน แต่ถ้ามีก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยม เพราะสมุดประวัติประจำรถทำให้รู้ว่าเขาตรวจซ่อมอะไรมาบ้าง ตรวจทุกระยะประจำหรือเปล่า

2. เจ้าของรถ
คุณควรดูเจ้าของรถคันเดิมว่าเขาเป็นใครใช้รถอย่างไรดูแลรถหรือไม่ มีคนกล่าวว่า ไม่ควรซื้อรถต่อจากวัยรุ่น ผู้หญิง และคนชรา เพราะว่าทั้งสามประเภทนี้ ใช้รถอย่างเดียวไม่ค่อยดูแลรถที่ใช้อยู่

3. มือที่เท่าไหร่
ก็คือรถคันนี้มีคนเป็นเจ้าของมามากน้อยเพียงใด ถ้าผ่านมาแล้วหลายมือก็ควรไม่ซื้อ เพราะรถอาจจะมีปัญหาได้

4. ตัวเลขระยะทางการใช้รถ
ในการซื้อรถคุณควรดูเลขตัวไมล์โดยปกติการใช้รถไม่ควรจะมากกว่าสามหมื่นกิโลเมตรต่อปี
หากมากไปกว่านี้ถือว่ามากอาจทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้งานหนัก

5. สภาพภายใน
หมายถีงเบาะนั่ง ระบบไฟฟ้าต่างๆ ต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม สภาพดีมาก ดีน้อย ย่อมแล้วแต่ผู้ใช้และการดูแลรักษา

6. สภาพภายนอก
ควรดูสภาพตัวถังมีผุพัง สีถลอกปอกเปิก กันชนบุบ ตัวถังงอ ประตูตก บ้างหรือไม่

7. ทำสีมาหรือเปล่า
รถที่ต้องทำสีใหม่ คือ รถที่เก่ามากอายุควรจะเกิน 15 ปีขี้นไป หากทำสีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่ารถไม่ได้รับการดูแล ในการทดสอบว่าไปทำสีมาหรือเปล่า ก็ลองเคาะเบาๆ ด้วยสันมือ ถ้าเสียงโปร่งก็สีเดิม ถ้าเสียงทึบบ้างโปร่งบ้าง ก็ทำบางส่วน ถ้าทึบหมดก็ทำทั้งคันรถทำสีใหม่สีจะไม่ทน อาจซีด หรือด้านหรือโปร่ง ภายในสองสามปีเป็นอย่างมาก

8. ประวัติรถ
หากสามารถรู้ประวัติการใช้รถของเจ้าของเดิมมาบ้างก็จะดี เพราะจะได้รู้ว่าเจ้าของรถคนเก่าเคยนำรถไปใช้อย่างไร เช่น ไปชนคนตายมาก่อนหรือเปล่า เคยนำรถไปใช้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเปล่า เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนน่ากลัวหรือเปล่า ส่งเหล่านี้เราต้องสืบหาเอาเอง

9. ซื้อรถจากเจ้าของดีกว่าซื้อจากเต้นท์รถหรือพ่อค้าคนกลาง
ถ้าซื้อรถจากพ่อคนกลาง พ่อค้าคนกลางอาจโอนเป็นชื่อของตนเองหรือโอนลอยไว้ พวกนี้จะเอาของดีๆ ออกจากตัวรถก่อนจะขาย ก็ได้ เช่น เครื่องเสียง อุปกรณ์ความปลอดภัย อุปกรณ์ประกอบรถอื่นๆ ที่พอจะนำไปขายแยกได้ ส่วนเต๊นท์รถนั้นก็คือพ่อค้าคนกลางเหมือนกันแต่เจ้าเล่ห์มากกว่า และมักจะขายราคาแพงกว่าท้องตลาดประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อคัน เวลาจะซื้อรถคุณควรดูให้มั่นใจเสียก่อน ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

10. หากซื้อรถจากเต้นท์จะต้องนำรถออกทันที
คุณอย่าไปวางเงินแล้ววางใจ ไม่อย่างนั้น เครื่องเสียง ล้อแม็กซ์ ยาง เครื่องยนต์ และอื่น ของคุณอาจจะถูกเปลี่ยนไป โดยที่คุณเองก็อาจทำอะไรก็ไม่ได้

11. ต้องรีบโอนรถให้เรียบร้อย
ถ้าคุณซื้อรถจากเจ้าของแล้วควรนำรถออกทันที แต่ถ้าซื้อรถจากเต๊นท์จะต้องทำสัญญาซื้อขายให้ดี ขอใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อย ถ้านัดไปโอนทะเบียบภายหลังจะต้องกำหนดเวลาการโอนในสัญญาซื้อขายอย่างแน่นอน