MKT Team
ขับขี่ปลอดภัย … ตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ

ข่าวการตั้งสถาบันสอนกฎจราจรแห่งแรกในประเทศ ไทย ช่างเป็นเรื่องน่าชื่นชมในความตั้งใจดีของกระทรวงศึกษาธิการกับกองบัญชาการ ตำรวจนครบาล เพราะเป็นที่รู้กันมานานว่าพฤติกรรมเสี่ยงคือ สาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุ การที่เล็งเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมาย คงสะท้อนความเชื่อของผู้รับผิดชอบว่า การสอนกฎจราจรตั้งแต่เยาว์วัยจะนำไปสู่การลดพฤติกรรมเสี่ยงได้ในระยะยาว เข้าทำนอง คติ “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก”

ถ้าความเชื่อนั้นถูกต้อง ก็แปลว่าในระยะสั้น เด็กที่ผ่านการสอนของสถาบันนี้จะข้ามถนนเดินถนนถูกกฎ ในระยะยาวเมื่อโตขึ้นมีรถขับ จะขับรถด้วยความปลอดภัยตามกฎจราจร อนุมานต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กที่ผ่านการสอนจะประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นจะประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่น้อยกว่าคนรุ่นเดียวกันที่ไม่ผ่าน การสอน

ผู้เขียนก็อยากเอาใจช่วยให้เป็นไปในทางที่ดี แต่เมื่อไปสำรวจความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญรวบรวมสังเคราะห์ไว้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ชะรอยความเชื่อข้างต้นจะไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้สนับสนุน

ดร.เมย์ฮิว แห่งมูลนิธิเพื่อการวิจัยการบาดเจ็บทางถนน ประเทศแคนาดาได้ตีพิมพ์บทสังเคราะห์องค์ความรู้ในวารสาร Injury Prevention ฉบับ ที่ 8 ปีพ.ศ.2545 รวบรวมความรู้ เกือบสามสิบปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2518-2545 สรุปใจความสำคัญได้ว่า โครงการฝึกอบรมหรือสอนขับขี่รถยนต์/จักรยานยนต์ทั้งหลายล้วนล้มเหลวในการส่ง เสริมพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย

ข้อ สรุปนี้สอดคล้องกับผลการสังเคราะห์ความรู้ก่อนหน้านี้ของนักวิชาการ หลายกลุ่ม เช่น จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกิ้น ประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันTransport South Australia ประเทศออสเตรเลีย กลุ่มCochrane Injuriesในสหราชอาณาจักร ฯลฯ ซึ่งเสนอผลงานในระหว่างปีพ.ศ.2543-45

ซ้ำร้ายกว่านั้น งานวิชาการหลายชิ้นยังสรุปด้วยว่า การสอนขับขี่ชักนำให้ผู้เรียนได้ใบขับขี่มาเร็วกว่าคนวัยเดียวกันที่ไม่ได้ ผ่านการสอน เลยออกถนนเร็วกว่า และประสบอุบัติเหตุมากกว่าเพื่อน ในรายงานชิ้นหนึ่งแสดงตัวเลขให้เห็นว่า ในบรรดานักเรียนชั้นมัธยมปลาย 16,388 คน เมื่อจำแนกเป็นสามกลุ่ม สองกลุ่มแรกผ่านการอบรมการขับขี่หลักสูตร 72 ชั่วโมง และ24 ชั่วโมง ได้ใบขับขี่ร้อยละ 88.4 และ 86.2ตามลำดับ

ใน ขณะที่กลุ่มที่สามไม่ได้ผ่านการอบรมได้ใบขับขี่ ร้อยละ 84.3 เมื่อติดตามต่อมาพบอัตราการประสบอุบัติเหตุในสองกลุ่มแรกเท่ากับร้อยละ 28.6 และ 26.5 ตามลำดับและ ในกลุ่มที่สาม พบร้อยละ26.7

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับข้อสรุปที่ออกจะสวนทางกับ สามัญสำนึกทั่วไป ผู้เขียนจึงขอขยายความต่อไปว่า มีเหตุผลอันใดที่อยู่เบื้องหลังความล้มเหลวเช่นนั้น

1. การสอนฯละเลยหรือไม่ให้น้ำหนักเพียงพอต่อการปลูกฝังความรู้และทักษะที่จำ เป็นยิ่งยวดต่อการขับขี่ ปลอดภัย ตัวอย่าง เช่น ทักษะในการประเมินความเสี่ยงบนถนน ผู้เรียนอาจไม่ถูกฝึกให้ตระหนักและสามารถประเมินความเสี่ยงของ การขับขี่ยามค่ำคืน การขับขี่ขณะถนนลื่น การขับจักรยานยนต์บนช่องทางที่ใช้ความเร็วสูง เป็นต้น

2. การสอนฯ ไม่สามารถปลูกฝังเจตคติที่ดีในการขับขี่ปลอดภัย ทำให้ผู้เรียนไม่ใส่ใจที่จะนำทักษะและความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง ความ จริงที่อาจมองข้ามคือ ในชีวิตจริงมีสิ่งเร้าให้ผู้เรียนขับขี่ไปในทางที่เสี่ยงภัย เช่น โฆษณายานยนต์และผลิตภัณฑ์โดยใช้ความแรง ความเร็วเป็นจุดขาย ภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่นที่ตัวละครแสดงลีลาผาดโผนขณะขับขี่ เพื่อนฝูงที่มีค่านิยมความเร็วและแรงในการขับขี่ ฯลฯ สิ่งเร้าเหล่านี้มักมีแรงชักจูง(ในทางเสื่อม) มากกว่าเจตคติขับขี่ปลอดภัยที่หลักสูตรปลูกฝังไว้

3. การสอนฯ สร้างความเชื่อมั่นเกินจริงในความสามารถของตนเอง มีหลักสูตรจำนวนไม่น้อยฝึกให้ผู้เรียนขับขี่สามารถประคองรถในสภาพการณ์ที่ ลื่นไถล แต่ในชีวิตจริงโอกาสที่จะเผชิญสถานการณ์นี้มีน้อย ทำให้ทักษะที่เรียนมาเสื่อมถอยไป โดยที่ผู้เรียนไม่ทันรู้ตัว เลยหลงผิดว่าตนยังมีความสามารถนั้นอยู่ จึงชะล่าใจ ปล่อยให้ตนเองเข้าสู่สถานการณ์ลื่นไถลโดยไม่จำเป็น ถ้าหันมาเน้นการฝึกสอนให้ผู้เรียนรู้จักและตระหนักในขีดจำกัดของตนเองอยู่ ตลอดเวลา ก็จะลดความฮึกเหิม ลดความชะล่าใจนั้นได้ ดังจะสังเกตเห็นว่า คนตาบอดและคนพิการอื่นๆมักระมัดระวังตัวในการเดินมากกว่าคนปกติเพราะตระหนัก รู้ขีดจำกัดของตนเองตลอดเวลา

4. การสอนฯไม่สามารถช่วยให้ผู้เรียนจัดการกับสิ่งเร้าใจให้สุ่มเสี่ยงได้ มีการวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุกับ สิ่งเร้าใจให้สุ่มเสี่ยง เช่น การท้าทายของเพื่อนให้แข่งรถ ตัวแบบในภาพยนตร์ การโฆษณาที่เย้ายวนด้วยค่านิยมโฉบเฉี่ยว เร็วแรง ฯลฯ สิ่งเร้าในทางเสี่ยงเหล่านี้รุมเร้าสังคมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในขณะที่การสอนขับขี่ส่วนใหญ่มองข้ามการฝึกทักษะ ฝึกการครองสติให้เผชิญกับสิ่งเร้าอย่างมีวิจารณญาณ

5. การสอนฯ ส่วนใหญ่มักมีหลักสูตรประเภทตัดเสื้อโหลแจก คือ ไม่คำนึงถึงพื้นเพทางสติปัญญา ทักษะ ความรู้ จิตใจ และร่างกายที่หลากหลาย จึงอาจจะไม่สามารถเติมเต็มในส่วนขาดที่สำคัญของแต่ละบุคคล คนที่ตาบอดสีอาจผ่านการสอนโดยไม่ได้รับการพัฒนาทักษะในการแยกแยะสัญญาณไฟ จราจร ทำให้อาจตีความสัญญาณไฟผิดพลาด จนฝ่าไฟแดงและเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น

ที่ กล่าวมานี้ ไม่ได้เจตนาให้ผู้อ่านตีความว่า ควรยกเลิกการสอนขับขี่ทุกรูปแบบ แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ยังมีโอกาสพัฒนาอีกมากรออยู่หากการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชนในเรื่องนี้จะ ก่อประโยชน์สูงสุด และคุ้มค่า

กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ตลอดจนภาคธุรกิจที่สนใจเรื่องนี้ควรระดมสมองและสังเคราะห์องค์ความรู้ให้รอบ ด้านเพื่อคิดค้นรูปแบบวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านการใช้รถใช้ถนนที่ เหมาะสมที่สุดสำหรับสังคมไทย โดยมีการวิจัยประเมินผลคอยกำกับตรวจสอบว่า สิ่งที่ออกแบบและดำเนินการเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ยังมีส่วนใดต้องปรับปรุง ผู้เขียนเชื่อว่า เส้นทางแห่งการพัฒนาคุณภาพกระบวนการเรียนรู้การขับขี่ปลอดภัยเป็นเส้นทางที่ ไม่มีจุดจบ กระนั้นก็ตามหากจะริเริ่มให้สง่างาม พึงตั้งมั่นอยู่กับการใช้ความรู้ที่รอบด้าน

ประเด็นสุดท้ายที่อยากชวนให้ คิดคือ ทำอย่างไรคนส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องขับขี่ควรได้เข้าถึงและได้อานิสงจากการฝึก อบรมขับขี่ปลอดภัยในเวลาอันเหมาะสม อย่าลืมว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด ขับขี่ปลอดภัยในวงเล็กย่อมมีความหมายจำกัดถ้าคนวงใหญ่ยังขับขี่แบบตามใจ (ฉัน) ฉันนั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=4787932564615
MKT Team
ก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับเทศกาลปีใหม่ ที่บางคนเล่นหยุดกันยาวตั้งแต่วันที่ 25 ยาวยันวันที่ 1 มกราคม 2554 กันเลยทีเดียว งานนี้หลายคนคงมีแผนการหยุดยาวเตรียมไปเที่ยวกันอย่างหนำใจให้สมกับส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และถ้าคุณมีแผนการใช้รถก้น่าจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

การเตรียมรถให้พร้อมก่อนเดินทางนั้น ถือเป็นเรื่องคุณควรกระทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่ชอบเดินทางไปยัง ป่า เขา ลำเนา ไพร เพราะ การเตรียมพร้อมช่วยให้รถคุณไม่มีปัญหาในการขับขี่และพร้อมสำหรับเส้นทางที่คุณอาจจะเจออุปสรรค ซึ่งการที่เราเตรียมตัวไว้อย่างดีช่วยรถปัญหาที่จะทำให้วันสุดสนุกกลายเป็นหายนะ และยังช่วยคุณเซฟเงินไว้เที่ยวให้เต็มที่ด้วยนะ

1. ถ่ายน้ำมันเครื่อง เมื่อพูดถึงรถ เราคงต้องนึกถึงเครื่องยนต์เป็นอย่างแรก ซึ่งถ้าเป็นไปได้งบเหลือๆ นั้น เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเสียก่อน เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์นั้นเต็มร้อยก่อนออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งความจริงแล้วน้ำมันเครื่องที่ใช้ไปเป็นระยะเวลานาน จะเกิดความหนืดมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากคุณเดินทางต่างจังหวัด โดยความเร็วสูงบ่อยๆ หรือเครื่องยนต์ทำงานตลอดเวลา น้ำมันก็จะเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น และถ้าคุณใช้น้ำมันที่ใกล้ถึงระยะเปลี่ยนถ่ายอาจส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอ หรือร้ายที่สุดก็พังเลยก็เคยเห็นมาแล้ว

2. ตรวจสอบระบบหล่อเย็น เรื่องการระบายความร้อนก็สำคัญไม่แพ้กัน และมันเป็นอะไรที่คุณควรทำเสีย การเช็คระบบหล่อเย็นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งช่างเพียงคุณตรวจดูบริเวณหม้อน้ำหารอยซึมหรือรั่ว จากนั้นสังเกตกระปุกพักน้ำสำรองว่ามีคราบสนิมหรือไม่

ถ้าคุณพบว่าน้ำหล่อเย็นคุณมีสีสนิมนั้น ก็ควรที่จะไปให้ช่างผู้ชำนาญการเปลี่ยนถ่าย หรือเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ เพราะการที่น้ำหล่อเย็นมีสีผิดปกติ แสดงว่า น้ำยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งปกติน้ำยาจะมีอายุการใช้งานเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ซึ่งเมื่อน้ำยาเสื่อมคุณภาพมันก็จะระบายความร้อนไม่ดี มีสิทธิ์ที่คุณจะเจออาการเครื่องฮีทระหว่างทางและหมดสนุกได้

3.ตรวจเช็คระบบเบรกและช่วงล่าง เบรกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทาง และพวกมันควรอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่วางแผนไปเที่ยวทางทางเหนือที่คุณจะต้องผ่านนับพันโค้งเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง หากคุณพบว่ารถคุณมีเสียงในขณะห้ามล้อหรือมีอาการผิดปกติ เช่นมีระยะเบรคมากกว่าปกติ ก็ควรรีบทำการตรวจสอบโดยทันที เพราะเส้นทางต่างจังหวัดนั้น เบรคคือสิ่งสำคัญ

ช่วงล่างหรือระบบกันสะเทือนก็เช่นกัน หลายคนคิดว่า ชุดช่วงล่างจะใช้กันยาวนานนับ 10 ปี ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด การตรวจสอบช่วงล่างนั้น ทำได้ด้วยการจับความรู้สึกรถ และทดสอบโยกจากภายนอกด้วยตัวเอง ถ้ารถมีระยะยุบมาก หรือคืนตัวช้า แสดงว่าระบบช่วงล่างมีการสึกหรอ หรือ ถ้าคุณขับจะรู้สึกว่ารถจะมีความนิ่มนวลกว่าปกติ ...อย่าปล่อยไว้รีบไปตรวจสอบทันทีในบัดดล

4.ยางและระบบบังคับเลี้ยว ยางอาจจะดูไม่สำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการที่คุณขับรถต่างจังหวัดนั้นมีโอกาสยางระเบิดมากกว่าปกติเลยทีเดียว ดังนั้นถ้ายางคุณเริ่มมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานควรทำการเติมลมเพิ่มจากปกติ 1-2 ปอนด์ (ยกเว้นกรณีคุณเติมลมแข็งอยู่แล้ว) เพราะลมยางที่มากช่วยป้องกันยางระเบิดได้พอสมควร หรือถ้าไม่มันใจ ก็หาร้านเติมลมในโตรเจนที่เฉลี่ย 4 ล้อเพียง 200 บาทเท่านั้น อาจจะดูแล้วแพงแต่มันช่วยชีวิตคุณได้นะ

ระบบบังคับเลี้ยวก็เช่นกัน มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าคุณเลี้ยวไม่ได้ รับรองไม่ข้างทางก็ด้านหน้า เลือกเอาตามสะดวกเลย เราหลายคนไม่เคยตรวจเช็คระบบบังคับเลี้ยว โดยเฉพาะปั้มระบบผ่อนแรงหรือพวงมาลัยพาวเวอร์ที่อาจจะทำให้คุณกล้ามโตได้หากเสียระหว่างทาง ฟังดูอาจจะไม่ร้ายแรงนัก แต่คุณก็ควรจะทำการตรวจสอบเอาไว้ให้มั่นใจในการขับขี่ โดยสังเกตจากกระปุกน้ำมันพาวเวอร์ หากมีสีเข้มกว่าสีแดงปกติ เปลี่ยนถ่ายมันโดยช่างผู้ชำนาญการก็เป็นอะไรที่เข้าท่า

5.คนขับ คุณเองก็ต้องการการเตรียมพร้อมเพื่อการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและมันทำให้การเดินทางของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ในต่างประเทศมีวิจัยพบว่าถ้าคนจะขับรถได้มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อเขานอนพักผ่อน 2- 3 วัน อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง บนที่นอน ซึ่งนอกจากการพักผ่อนแล้วสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ควรจะทำร่างกายให้แข็งแรงก่อนการเดินทาง

ทั้งหมดนี้เป็น 5 ข้อที่ควรจะทำก่อนไปเที่ยวปีใหม่ที่ต้องฉลองกันให้สนุกส่งท้ายปีนี้ ยังไงขับรถไปเที่ยวก้ใช้ความระมัดระวังและมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทางสักนิด จะได้ไปสนุก!!! ด้วยกันทุกคนครับ


ที่มา www.sanook.com
MKT Team
เพื่อทำความรู้จักกับพริอุส เจเนอเรชันที่ 3 อย่างละเอียด ถูกต้อง ชัดเจน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จึงพาสื่อมวลชนไปสัมผัสกันแบบใกล้ชิด ณ เมือง นาโกยา ประเทศญี่ปุ่น โดยมี อากิฮิโกะ โอซึกะ หัวหน้าวิศวกรดูแลโตโยต้าพริอุส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน เป็นผู้ให้ความรู้กับสื่อมวลชนไทย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า พริอุส ที่กำลังจะพูดถึงเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น ส่วนเวอร์ชันที่จะประกอบในไทยจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่น

สำหรับเจเนอเรชันที่ 3 ของพริอุสได้รับการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถตอบสนองต่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และสมรรถนะในการขับขี่ที่ขึ้นจาก 2 รุ่น ที่ผ่านมา และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบไฮบริดจากเดิมที่ยึดเครื่องยนต์ 1500 ซีซี มาเป็น 1800 ซีซี ขณะที่รูปแบบตัวถังยังคงสไตล์แฮทช์แบ็กท้ายลาด 5 ประตู แต่จุดที่เปลี่ยนไปคือ ความใส่ใจในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานหรือ Cd จากเดิม 0.26 ในรุ่นที่แล้วมาอยู่ที่ 0.25 ในรุ่นนี้

พริอุส ใหม่มีขนาดตัวถังยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,745 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับพริอุสรุ่นที่แล้วยาว 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,715 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงยึดแนวเส้นสายจากรถรุ่นเดิม แต่ถูกปรับปรุงให้ดูสมดุลและลงตัวกว่าเช่นมุมของกันชนหน้าและชุดไฟท้ายไปจนถึงการออกแบบล้ออัลลอยให้มีฝาครอบล้อ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงไปจากล้ออัลลอยแบบปกติถึง 7 กิโลกรัม อีกทั้งยังออกแบบใต้พื้นตัวถังให้ลดปัญหาเรื่องความแปรปรวนของอากาศที่ไหลผ่านขณะแล่นซึ่งจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง และลดการก่อให้เกิดแรงต้านทานของอากาศซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

ขณะเดียวกันชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารยังผลิตจากวัสดุที่เป็น Bioplastic ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกสังเคราะห์จากใยพืชหรือหญ้าแทนที่จะเป็นพลาสติกที่มาจากปิโตรเลียมซึ่งย่อยสลายได้ยากตามธรรมชาติ โดยใช้พืชที่เรียกว่าปอแก้ว และหญ้าจีนซึ่งถือเป็นพืชที่มีเส้นใยที่มีความทนทานสูงสุดในธรรมชาติ

แผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น ตำแหน่งชุดมาตรวัด ดิจิตอล (Digital) ถูกออกแบบให้ช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่ พวงมาลัยยังคงออกแบบให้มีรูปทรงเหมือนกับพริอุสรุ่นก่อน มีสวิชต์การควบคุมการทำงานของระบบเครื่องเสียงและอื่น ๆ อีกมาก บนหน้าจอจะมีระบบแจ้งสถานะของรถได้ และเลือกเปลี่ยนโหมดต่าง ๆ ได้ด้วยการกดปุ่ม Display

สำหรับห้องโดยสารดูกว้างขวางมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง และที่สำคัญเบาะนั่งแถวหลังยังแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังจากเดิม 415 ลิตร มาเป็น 446 ลิตรในรุ่นใหม่

ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนขุมพลังไฮบริดมาเป็นรหัส 2ZR-FXE ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว แบบ Dual-VVT-I มีความจุ 1800 ซีซี พร้อมกำลังขับเคลื่อน 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส 3JM มีกำลังสูงสุด 82 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.1 กก.-ม. โดยเมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันจะสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 134 แรงม้า และใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิลเมทัลไฮดรายในการเก็บกระแสไฟฟ้า
ข้อดีของเครื่องยนต์ที่มีความจุมากขึ้นคือแรงบิดที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลืมในเรื่องของความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะมีการออกแบบให้เครื่องยนต์ลดจำนวนรอบลง โดยเฉพาะเมื่อต้องแล่นด้วยความเร็วคงที่บนไฮเวย์ รวมถึงยังใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดภาระให้กับเครื่องยนต์
ระบบไฮบริดของโตโยต้ารุ่นนี้ จะมีการแบ่งการทำงานของระบบไฮบริดเอาไว้ 3 แบบ คือ Power เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ, Eco เน้นความประหยัดน้ำมัน และ EV ซึ่งสามารถขับภายใต้รูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่เพื่อส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน และนั่นทำให้พริอุสสามารถแปลงร่างเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศชั่วคราว
เมื่อทราบถึงรายละเอียดคร่าว ๆ ของ พริอุส รุ่นใหม่กันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะลงสนามไปลองขับ สัมผัส คันจริงกันบ้าง

การทดลองขับมีขึ้น ณ สนาม Spa Nishiura Motor Park เรียกย่อ ๆว่า SNMP สนามแห่งนี้มีความยาว 1.6 กิโลเมตร มีทางโค้งรวม 11 โค้ง ซึ่งแต่ละโค้งถือว่าไม่ธรรมดา เพราะทั้งโค้งรูปตัวยู โค้งหักศอก ทางโตโยต้าแบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กลุ่ม และแต่ละคนสามารถขับได้ไม่เกิน 2 รอบสนามต่อ 1 ครั้ง รวมแล้วขับได้ทั้งหมดคนละ 3 ครั้ง เท่ากับว่าจะได้ลองขับคนละ 6 รอบสนาม แต่ไม่ต่อเนื่องเพราะจะมีเพื่อนร่วมนั่งไปด้วยอีก 2 คนสลับขับ ทุกคนจะต้องขับตามรถ Instructor ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย

อย่างที่กล่าวข้างต้นพริอุส มีการทำงานของระบบไฮบริด 3 แบบ เจ้าหน้าที่ของโตโยต้าจึงให้ทุกคนได้ลองขับให้ครบทุกโหมด และจากการได้สัมผัสช่วงเวลาสั้น ๆ รู้สึกว่า พริอุส ใหม่มีอัตราเร่งที่เหลือเฟือ แถมยังรวดเร็วทันใจ ทั้งนี้เป็นเพราะการยกระดับเครื่องยนต์จาก 1500 ซีซี มาเป็น 1800 ซีซี บวกกับมีระบบการทำงาน 2 อย่างผสมผสานกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ ส่งผลให้มีแรงม้าเพิ่มถึง 134 แรงม้า จึงช่วยเพิ่มสมรรถนะในการออกตัวและไต่ความเร็วขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ให้เปลี่ยนมาใช้โหมด Power เพื่อทดสอบความเร็วด้วยการเหยียบเต็มที่ในระยะทางตรงที่กำหนดและเบรก(ซึ่งความเร็วที่ทำได้มากสุดในคันเรา 126 กิโลเมตร/ชม.) เพื่อทดสอบอัตราเร่ง ความเร็ว การเบรก ซึ่งตรงนี้เห็นชัดเจนเลยว่าอัตราเร่งดีมาก รวดเร็ว ทันใจ อัตราเร่งจาก 0-100 ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ( วิศวกรญี่ปุ่นบอกว่าการจับเวลา 0-100 กิโลเมตร/ชม.น่าจะอยู่ประมาณ 10.8 วินาที) ระยะเบรกรู้สึกสั้นมาก สั้นกว่ารถทั่วไป ถือว่าเบรกดีเลย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยส่วนหนึ่งหรือที่เรียกว่า Re-Generative braking system ส่วนในโหมด Eco เจ้าหน้าที่โตโยต้าบอกว่า อัตราเร่งจะมาช้ากว่าโหมด Power นิดหนึ่ง แต่จากที่เราได้ลองแทบจะไม่รู้สึกเลย รู้แต่ว่า อัตราเร่งมาทันใจ และดูเหมือนว่าจะมากเกินความคาดหมาย
ขณะที่โหมดอีวีเพียงแค่แตะคันเร่งลงไปนิดหน่อย มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานอย่างเดียวรถออกตัวไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์เลย
พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS :Electronics Power Steering ให้การตอบสนองที่แม่นยำ น้ำหนักกำลังดี ไม่เบา ไม่หนัก ในขณะเข้าโค้งหรือหักพวงมาลัยไปตามทิศทางใดที่ต้องการอย่างทันใจ การทรงตัวมั่นใจ ช่วงล่างหนักแน่น เกาะถนน
แต่จะว่าไปแล้วการขับขี่ทั่วไป รถจะปรับเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบจะทำงานให้เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟ เครื่องยนต์ดับ เครื่องยนต์ทำงาน การเปลี่ยนโหมด ทุกอย่างดูนุ่มนวลจนไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยน แต่เราจะรู้ได้จากการดูจอหน้าคอนโซลที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานของระบบไฮบริด
สำหรับความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ทางโตโยต้าบอกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยการขับในรูปแบบผสมอยู่ที่ 21.3 กิโลเมตร/ลิตร และได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถยนต์แบบ SULEV และ AT-PZEV ตามมาตรฐานการทดสอบของ CARB ด้วย
ด้วยการขับขี่ไม่ด้อยไปกว่ารถทั่วไป และดูจะเหนือกว่ารถบางรุ่นในระดับเครื่องยนต์เดียวกันด้วยซ้ำไป ทำให้ราคาที่โตโยต้า ประเทศไทยตั้งไว้ประมาณ 1.3 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่า ไม่แพง เมื่อแลกกับรถที่หน้าตาดูล้ำยุค ไม่เหมือนใคร ภายในก็มีดีไซน์ที่เน้นความทันสมัย ทั้งอุปกรณ์และวัสดุ บวกกับห้องโดยสารที่ใหญ่ 5ประตู สามารถพับเบาะได้ โดยเฉพาะกระโปรงท้ายหัวหน้าวิศวกรบอกว่าเก็บถุงกอล์ฟได้ถึง 3 ถุงทีเดียว ช่วงล่างนุ่ม นิ่ม กำลังดี -เบรกดีแบบมั่นใจ ส่วนความประหยัดไม่ต้องถามเลยประหยัดสุดสุดอยู่แล้ว ที่สำคัญเครื่องยนต์ 1800 ซีซี แต่มีแรงม้าแยะหากมารวมกับแรงม้าที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้า ดังนั้นอัตราเร่งหายห่วง
หากคุณมีเงินถึงและอยากได้รถที่มีประโยชน์ใช้สอยสูง สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน หน้าตาทันสมัย ล้ำยุค ที่สำคัญคุณเป็นคนห่วงใยสิ่งแวดล้อม .....ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ซื้อ "พริอุส"
MKT Team
ถ้าถามว่าชิ้นส่วนใดในรถ เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด เราหลายคนคงจะนึกถึงเครื่องยนต์ที่มันจะเป็นหัวใจในการขับขี่ เพราะถ้าไม่มีเครื่องยนต์ รถก็คงขับเคลื่อนไม่ได้ ที่จะว่าไปก็ถูกต้องแล้ว แต่ชีวิตเรายามขับขี่นั้น เชื่อหรือไม่ว่ามีหลายคนไม่ใส่ใจในชิ้นส่วนที่ดูแลง่ายอย่าง ยางรถยนต์ ที่อาจนำคุณไปสู่อุบัติเหตุ หลายคนไม่รู้ว่ายางสำคัญและปัจจุบันยางรถยนต์นั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา โดยเฉพาะลมยางที่จำเป็นต้องเติมเข้าไปให้สม่ำเสอเพื่อการขับขี่ที่ดีที่สุดยามคุณเดินทาง กับรถยนต์คู่ใจ ลมยางนั้น เป็นอากาศที่ใช้ในการเติมเข้าไปในยางเพื่อให้ยางมีความแข็งเพียงพอที่จะให้หน้าสัมผัสของยางทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่มันจะช่วยคุณในการเกาะถนน ไปจนถึงการเบรค ที่สามารถทำได้อย่างมั่นใจ ในยามที่ชีวิตของคุณนั้นไม่มีอะไรพึ่งได้นอกจาก ล้อทั้ง 4 ที่ใช้ในการทรงตัว และยางคือจุดหลักในการรับแรงสัมผัส แรงเสียดสีบนถนน เมื่อคุณทำการเบรกรถของคุณ

โดยปกติแล้ว เราควรตรวจสอบลมยางทุกๆ 2 สัปดาห์ในการใช้งานรถ เพื่อให้ลมยางสม่ำเสมอ เท่ากันทุกล้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยคุณป้องกันอุบัติเหตุด้วยไปในตัว เนื่องจากลมยางที่อ่อนนั้นจะทำให้ให้เนื้อยางถูกบดไปกับถนนมากเกินไปเป็นที่มาของความร้อนและท้ายสุด ยางระเบิด ทั้งๆที่ ยังไม่สิ้นอายุไขของยางเส้นนั้นๆ ทำให้เสียเงินโดยใช่เหตุอีกด้วยจริงอยู่การเติมลมยางอาจเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ใครก็รู้ และปัจจุบันก็ทำได้ง่ายยิ่ง ไม่ว่าคุณจะใช้เด็กปั้ม หรือลงไปเติมด้วยตัวเอง ด้วยตู้เติมลมอัตโนมัติ ซึ่งการเติมลมยางนี่ก็มีต้องมีเทคนิคในการเติม และทำได้ง่ายเพียงต้องเรียนรู้บางอย่าง

1.รู้ค่าลมที่ยางรับได้สูงสุด การเติมลมยางนั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า ยางนั้นมีค่าลมยางสูงสุดที่รับได้เท่าไร ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนยางจากสแตนดาร์ดโรงงาน ก็อ่านค่าได้ง่ายๆ เพียงดูที่แก้มยาง ที่จะมีระบุไว้ให้อย่างชัดเจน และคุณต้องไม่เติมลมเกินกว่าเลขจำนวนนั้น เพราะ ถ้าคุณเติมลมมากเกินไปก็เสี่ยงต่อยางระเบิด เนื่องจาก เมื่อรถวิ่งอากาศภายในจะมีการขยายตัวจากความร้อนที่เกิดขึ้น และถ้าลมมีมวลมากมันก็หาทางออกนั่นเอง

2.รู้ปีของยาง การรู้ปีที่ผลิต สำคัญมาก เพราะเมื่อยางเก่าใกล้เสื่อมสภาพ เราไม่ควรจะเติมลมแข็งมาก เพราะหน้าสัมผัสของชั้นความหนายางที่เหลือน้อยลงทำให้ เกิดความร้อนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง วิธีการอ่านปีของยางนั้นก็ทำง่ายๆ เพียงมองหายตัวเลขบนยางที่อยู่ในวงกลม/วงรีแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งจะมีตัวเลข 3-4 ตัว โดย 2 ตัวแรกจะเป็นสัปดาห์ที่ผลิต ส่วน 2 ตัวหลังจะเป็นปีที่ถูกผลิต อย่าง 5210 อันนี้ก็อ่านว่า ยางดังกล่าวถูกผลิตสัปดาห์ที่ 52 ปี 2010

3.หาที่วัดลมยางของตัวเอง เราไม่รู้หรอกว่าที่วัดลมยางอันไหนเที่ยงตรงที่สุด เพราะแต่ละปั้ม หรือร้านก็ใช้ที่วัดคนละตัว ดังนั้นคุณควรซื้อที่วัดลมยางส่วนตัวเอาไว้ และหยิบมาใช้เมื่อต้องการ

4.ลมแข็ง / อ่อน คุณตัดสินใจ หลายคนไม่แน่ใจว่าจะเติมลมแข็งลมอ่อน บ้างช่างว่า 35 ปอนด์ ก็ 35 ปอนด์อะไรแบบนั้น

การจะเติมลมแข็งลมอ่อนนั้น มีวิธีการตัดสินใจง่ายๆข้อเดียว คือลักษณะการขับขี่ของคุณ หากคุณเป็นพวกโลดโผนโจรทะยาน ต้องเติมลมแข็งเข้าว่า หลายคนถามว่าทำไม เพราะ ลมแข็งจะช่วยให้ยางแข็งช่วยให้ช่วงล่างแข็งขึ้นอีกเล็กน้อย และยังขยายหน้าสัมผัสยางดีขึ้นด้วยกลับกันถ้าคุณชอบความสบายควรเติมลมอ่อน การเติมลมอ่อนนี้ไม่ใช่ว่าจะอ่อนมาก แต่ต้องกำลังพอดี โดยประมาณให้มีแรงดัน 30 ปอนด์ขึ้นไป เพื่อให้หน้ายางไม่บดพื้นจนเกินโดยปกติ ประมาณสัก 32 ปอนด์ถือว่ากำลังดี การเติมลมอ่อนมีข้อดีที่รถคุณจะดูสบายไปเลย เพราะช่วงล่างทำงานหนักน้อยลง แต่คุณก็เสี่ยงกับการไม่เกาะถนนมากขึ้น เพราะยางอ่อนจะทำให้รถร่อนได้ง่าย โดยเฉพาะยามถนนลื่น ฉะนั้นต้องขับรถไม่ใช้ความเร็วสูง

ทั้งนี้คุณควรจะหมั่นตรวจสอบลมยางเป็นประจำ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างน้อยเดือนละครั้ง ยังไงก็คิดเสียว่าชีวิตคุณขึ้นอยู่กับพวกมัน เรื่องลมยางจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและมันเป็นอะไรที่คุณควรหมั่นตรวจสอบบ่อยด้วย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใช้รถอย่างตะบี้ตะบันไม่ได้ตรวจสอบกันเลย ทั้งนี้การเติมลมยางไม่ว่าแบบไหนก็ควรจะคิดพินิจตรึกตรองกันให้ดีๆ แต่ถ้าคุณไม่อยากตรวจสอบลมบ่อย ลมไนโตรเจน ก็เป็นทางออกที่ดีครับ
MKT Team
ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า รถยนต์ใหม่ที่มีมากขึ้นในตลาดรถยนต์และราคาที่ถูกลง ไปจนถึงระยะผ่อนและดอกเบี้ยที่ถัวเฉลี่ยที่ 2.00% นั้น เป็นอะไรที่ดึงดูดลูกค้าอย่างมาก และทำให้ในปีที่ผ่านมานี้รถใหม่มีอัตราเติบโตสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ตลาดรถยนต์มือสองนั้นไปได้เรื่อยๆไม่หวือหวาอย่างที่ควรจะเป็น

การถีบตัวสูงขึ้นของผู้คนที่หันไปออกรถใหม่มากขึ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำให้บริษัทรถยนตืได้ประโยชน์เต็มๆ ทว่าในทางตรงข้ามของรถมือ 2 นั้น ก็ขายไปได้เรื่อยๆ และมีทีท่าว่ายอดขายจะค่อยๆทรุดลง จนในที่สุดถึงทางตันของตลาดรถยนต์มือสอง จากกลยุทธ์ของบรรดาค่ายผู้ผลิต ที่นับวันกระหน่ำโปรโมชั่น ทำให้ลูกค้าสนใจ จน มีถึงขนาดว่า ซื้อวันนี้ อีก 3 เดือนค่อยเริ่มผ่อนกันก็ยังมี

ตลาดแข่งขันที่ดุดเดือดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนไทยเริ่มให้การยอมรับในระยนต์กลุ่มซับคอมแฑ้คหรือรถเล็กมากขึ้นนั้น ทำให้คลาดรถยนต์กลุ่มใหม่นี้ต่างคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาน่าคบหาตั้งแต่ 4 แสนกลางๆจนถึงมากที่สุดคือ 7 แสนบาท หรือถ้าคุณเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะออกรถใหม่ไม่ได้ หากคุณไม่คิดมากถึงขนาดและความโก้ รถเล็กรักสิ่งแวดล้อมพันธุ์ประหยัดอย่า งอีโค่คาร์นั้น ก็สามารถให้คุณเป้นเจ้าของจากโรงงานได้ง่ายๆ ไม่ยากนัก

ข้อดีของการออกรถใหม่ในปัจจุบันนันมีมากมาย จนคุณอาจจะไม่อยากเชื่อ และแม้ว่าวันนี้ราคารถมือสองจะมีการกดราคาลงอีกเพื่อให้คนอยากที่จะมองพวกมากๆ ทว่า ข้อดีของการซื้อรถมือ 1 นั้นก็มีมากเช่นกันที่เราจะไปดูกันว่า ทำไม รถมือ 1 ในวันนี้ถึงน่าซื้อมากมายนัก

1.ออกง่าย คุณอยากมีหรือเปล่า แน่ล่ะใครๆก็อยากมี ถ้าคุณมีหลักฐานมั่นคง วันนี้ การดาวน์เริ่มต้นเพียง 5% นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมาก รถราคาเป็นล้าน แต่คุณแค่กำเงินไปประมาณ 50,000 บาท ก็สามารถออกรถได้ โดยที่ไม่ต้องคิดมาก การดาวน์ต่ำนั้นช่วยให้ออกรถง่าย แต่บางครั้งนั่นก้ยังไม่พอให้คนตัดสินใจซื้อรถ ทำให้ทุกวันนี้โปรโมชั่นต่างๆ ถูกเสนอขึ้นมาช่วยเป็นทางเลือกในการตัดสินใจ และอย่างน้อยๆมันก็มีประกันภัยชั้น 1 ที่พร้อมสรรพมาแล้ว

2.ดอกเบี้ยต่ำกว่ารถมือสอง คุณรู้หรือไม่ว่า รถมือสองนั้นแม้จะผ่อนต่ำกว่ารถใหม่ แต่มีอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ามากเกือบครึ่งของรถใหม่ ปัจจุบันรถใหม่มีดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยที่ 2.00 % ในขณะที่รถมือสอง เริ่มต้นที่ 4.75 % สำหรับรถยนต์ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี และถ้ารถที่คุIจะซื้อมีอายุเกิน 15 ปี ไฟแนนซ์ก็ไม่รับจัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง และที่สำคัญอีกประการ คือรถใหม่นั้นปัจจุบันผ่อนได้นานขึ้น แต่คุณก็ต้องมีดอกเบี้ยสูงตามไปด้วย

3.ประกันคุณภาพ การรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรนั้น ปัจจุบัน กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการขายรถยนต์ไปแล้ว เพราะการรับประกันนั้นช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในตัวรถ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้างส่วน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อมากขึ้น

4.การบริการหลังการขายที่ดีขึ้น ปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่าการบริการหลังการขายของค่ายรถยนต์ต่างๆ นั้นดีขึ้นตามลำดับไม่ว่าจะยี่ห้อเล็ก ยี่ห้อใหญ่ คุณก็มั่นใจได้ว่า จะได้รับการบริการที่ดี แน่นอน นี่ทำให้คุณไม่ต้องไปผจญกับพวกช่างราคาถูก และไม่ปวดขมอง เพราะถ้ามีปัญหา ก้สามารถฟ้องร้องได้ตามขั้นตอนทางกฏหมาย

5. ไม่เสี่ยงกับรถไม่ได้คุณภาพ แน่นอน เราพูดแบบนี้อาจจะมีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า กว่า 70 % ของรถมือสองนั้น เป้นรถยนต์ที่ผ่านอุบัติเหตุหนักมาจนคุณ คงแทบไม่อยากจะทราบประวัติ และการซื้อรถใหม่นั้นลดการชั้จิตใจข้อนี้ได้ และหากมีปัญหาในระหว่างใช้งานคุณก็สามารถหันหน้าเข้าหาบริษัทได้

การซื้อรถใหม่นั้น ปัจจุบันมันเป็นทางออกที่ดีกว่าคุณคิด เพราะค่ายรถยนต์ต่างก็ขายสินค้าของตัวเอง และการที่มีการแข่งขันในตลาดรถยนต์สูงนั้น ทำให้เราในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์ไปเต็มๆ

ที่มา www.sanook.com
MKT Team
แม้งานปลายปีอย่าง Motor Expo จะจบลงไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมยอดจองรถสุดแสนมหาศาลทำลายทุกสถิติตั้งแต่เคยจัดงานมา ทว่า ถ้าใครไปงานนี้แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ในช่วงเวลาที่เหลือกอีก 15 วันนี้ คงเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่คุณควรจะคิดให้หนัก และรีบไปโชว์รูมหากคุณกำลังอยากจะออกรถคันใหม่

ถึงบริษัทลีสซิ่งกับการเลือกซื้อรถจะดุเหมือนคนละเรื่องเดียวกันนั้น ทว่าการออกมาประกาศตัวล่าสุดของบรรดาค่าย Leasing จะสร้างความกังวลให้คนที่กำลังมองรถในปีหน้าไม่น้อย เมื่อทางบริษัทนายหน้าค้าเงินต่างๆเตรียมปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์ขึ้นไปอีกอย่างน้อย 0.1-0.2 %

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต หนึ่งในบริษัทรับจัดไฟแนนซ์ชั้นนำเปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2554 เชื่อว่าน่าจะมีการขยับดอกเบี้ยเช่นซื้อรถยนต์ขึ้นอีก 0.1-0.2% ที่เป็นไปตามปรับดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ที่เพิ่งประกาศปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดอีก 0.25%

"ทิศทางของดอกเบี้ยตอนนี้อยู่ในระหว่างขาขึ้นกันทุกเจ้า เพียงแค่รอให้ผ่านช่วงมอเตอร์เอ็กซ์โปไปก่อน เนื่องจากตอนนี้ต้นทุนทางการเงินต่างๆ นั้นเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากมีการประกาศปรับขึ้นที่สูงขึ้น ดังนั้นช่วงนี้ถือเป็นจังหวะดอกเบี้ยต่ำที่สุดโอกาสสุดท้ายแล้ว"
ต้องรีบจริงๆครับ โดยเฉาพะใครที่กำลังตัดสินใจอยากจะมีรถใหญ่เป้นของตัวเอง ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก-มากที่สุด เพราะการขยับขึ้นดอกเบี้ย ย่อมทำให้ยอดผ่อนขึ้นตามไปอย่างแน่นอนและช่วยไม่ได้..ดังนั้นถ้าคิดได้แล้วไม่ควรรอช้าไปพบหน้าเซลล์เลย

ทาง นาย ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิส โก้ อีกหนึ่งสถาบันการเงินที่หันมาจับธุรกิจ เช่าซื้อรถยนต์ กล่าวว่า แนวโน้มของกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์นั้นคงจะต้องมีการปรับดอกเบียเพิ่มขึ้น 0.1-0.15% จากฐานเดิมที่อยู่ในช่วง 2.25-2.35% ที่เป้นผลมาจากต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคู่แข่งรายใหม่ๆที่เข้ามาทำตลาด

"ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยถูกส่งท้าย ก่อนที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ทำให้ภาพรวมในตลาดรถใหม่ปีนี้มีการเติบดตสูง โดยเฉพาะกลุ่มรถเล็กและรถประหยัดพลังงานค่อนข้างมีมาก รวมถึงการจัดโปรโมชั่นที่โดนใจลูกค้าด้วย

ด้าน นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปีหน้าดอกเบี้ยลีสซิ่งน่าจะมีการปรับขึ้น โดยคาดว่าปีหน้าดอกเบี้ยจะมาแข่งขันในกรอบ 2.0-2.5%

นี่เป็นกระแสที่สำคัญมากสำหรับใครที่กำลังอยากจะซื้อรถใหม่ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่มันเป็นช่วงเวลาดีๆ นาทีทองของคุณในการซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขับเล่นเที่ยวช่วงปีใหม่ ที่แม้ดอกเบียอาจจะขยับ เพียง 0.1-0.2% แต่ลองคิดเล่นๆว่า 100 = 20 สตางค์ แล้วรถราคาเป็นแสนเป็นล้านคุณจะประหยัดได้อีกเท่าไร
MKT Team
เรื่องของหลักการขับรถ ในทางโค้งที่ถูกต้องและปลอดภัย

ลักษณะของการหลุดโค้ง ก็จะมีอยู่สองแบบ คือ การหลุดโค้งไปทางซ้าย-หลุดโค้ง
ไปทางขวา เพราะการหักเลี้ยวในมุมที่มากกว่าปกติ ถ้าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ก็
จะทำให้ท้ายรถสะบัดออกไปชนแผงกั้นถนน หรือไม่ดีตัวรถนั้นก็พุ่งออกนอกโค้งไป
เลย ดังที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ และการบังคับพวงมาลัย จะต้องสัมพันธ์กับความเร็ว มี
การจับที่กระชับ ถนัดมือ ถ้าจับพวงมาลัยด้วยความเกร็ง หรือแน่นเกินไปก็จะทำให้
บังคับเลี้ยวได้ไม่ดีนัก หรือถ้าผ่อนเกินไปก็ไม่สามารถควบคุมแรงเหวี่ยงของรถได้
เหมือนกัน ส่วนความเร็วที่พอเหมาะกับการเข้าโค้งนั้นก็สำคัญเช่นกัน จึงมีสูตรที่
นักขับขี่ เรียกกันติดปากว่า การเข้าโค้งนั้นจะต้อง “เข้าให้ช้า - ออกให้เร็ว”

การเข้าให้ช้า นั้นก็คือ ขณะที่เรากำลังจะเข้าโค้งนั้น ทัศนวิสัยของเราจะต้องเห็น
ถึงปลายโค้ง และประเมินเอาว่า โค้งนี้น่าที่จะใช้ความเร็วเท่าใดจึงจะเหมาะสมและ
ปลอดภัย แต่บางครั้งก็มีโค้งบอด ซึ่งมองไม่เห็นทางข้างหน้า ก็ต้องใช้ความระมัด
ระวังเป็นพิเศษ หรือบางครั้ง เสา A (A Pillar) ของโครงรถเรา ก็มักบดบังทัศนวิสัย
ในการเข้าโค้งของเราเสียเอง แนะนำว่า ให้เราปรับการมองโดยอาศัยการมองโค้ง
ผ่านทางกระจกข้าง จะช่วยได้เยอะครับ หลังจาก ประเมินลักษณะโค้งแล้ว จากนั้น
ให้ลดความเร็วลง สมมุติว่าโค้งนี้น่าจะใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กม/ชม ก็ให้แตะเบรก
และลดความเร็วเหลือ 40 จริงๆถ้ายังขับอยู่ที่เกียร์ 4 ก็ให้มาอยู่เกียร์ 3 หรือ 2 แทน
จากนั้นบังคับรถให้วิ่งอยู่ในเลนของตนเองครับ

ซึ่งระหว่างที่อยู่ในโค้ง ก็อย่าพยายามเร่งคันเร่ง เพราะอาจจะทำให้รถเสียหลักเสีย
การควบคุมได้ จนหลุดโค้ง หรืออาจพลิกคว่ำได้ครับ หรือหากมีป้ายบังคับความเร็ว
ของกรมทางหลวงติดเอาไว้ก่อนถึงโค้งถ้าป้ายจำกัดไว้ที่ 40 กม/ชม ก็ขอให้ปฏิบัติ
ตามจะดีกว่าครับ

การออกให้เร็ว จะเกิดหลังจากที่เรากำลังจะออกโค้งสู่ทางตรงแล้ว ก็ให้เพิ่มอัตรา
ความเร็วรอบสูงสุด หรือเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นตามลำดับ รถก็จะออกโค้งสู่ทางตรงได้
อย่างปลอดภัยครับ อีกทั้งให้ระวังรถที่วิ่งเข้ามาในเลนสวนและอย่าขับรถไปในเลน
สวนนั้น เพราะว่ารถที่สวนทางมาไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งไปได้ ซึ่งทำให้เกิดการ
ชนประสานงาได้

ยิ่งในช่วงหน้าฝน มักมีอุบัติเหตุตามโค้งให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ผู้ขับขี่จึงต้อง
ระมัดระวังมากเป็นพิเศษครับ การเข้าให้ช้า ออกให้เร็ว เป็นหลักการที่นายทีก็ยังใช้
อยู่ทุกวัน ซึ่งถ้าบวกกับความระมัดระวังในการควบคุมรถ และก็ไม่ขับขี่ด้วยความคึก
คะนองด้วยเนี่ย จะเป็นเกราะป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างดีทีเดียวครับ
MKT Team
มีวงเลี้ยวที่ผิดปกติ - ถ้าปกติเวลาจะเลี้ยวรถตามโค้งต่างๆ รถก็มักจะอยู่ในเลนส์
เสมอๆ แต่ถ้าคุณเจอใครที่มีวงกว้าง ที่แคบ-กว้างเกินปกติหรือดูยังไงคนเพิ่งหัดขับ
ก็น่าจะเลี้ยวได้ดีกว่านี้ล่ะก็ นั่นคือสัญญาณแรก

ขับรถคร่อมเลนตลอดเวลา - แปลกนะครับ แค่เลนถนนนั้นก็มีความกว้างพอที่รถ
คันหนึ่งจะขับได้อยู่แล้ว ถ้าเห็นคนขับคร่อมถนนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ลองบีบแตร
เตือน ให้เค้ารู้สึกตัวหน่อยก็ดีครับ

เบรกเอี๊ยด – จู่ๆ พี่แกก็นั้นเบรกรถกะทันหัน โดยไม่มีสาเหตุครับ เพราะถนนก็โล่ง
สุนัขก็ไม่ได้วิ่งตัดหน้า เรียกว่าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังว่างั้นเถอะ

เลี้ยวรถกระทันหัน - อยู่ดีดีจะเลี้ยวก็เลี้ยว ไม่มีท่าทีที่รถชะลอ อาจทำให้รถปัดจน
เกิดอุบัติเหตุได้ เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ เมาชัวร์!!

ขับเร็วและหวาดเสียวมาก - บางคนเมาแล้วเท้าหนักครับ และเหยียบคันเร่งหนัก
และบังคับพวงมาลัยฉวัดเฉวียนโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าบางที ภาพที่คนเมาเห็น จะยัง
เห็นว่ารถนั้นวิ่งช้าอยู่ และตนเองนั้นก็ยังขับดีอยู่ ซึ่งจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิด
อุบัติเหตุเลยครับ

ตอบสนองต่อไฟจราจรช้า - เอาง่ายๆว่าไฟเขียวจนจะแดงอีกรอบแล้วก็ยังคงนิ่ง
อยู่ที่เดิม บีบแตรก็แล้ว ยังไม่ไป ประเภทนี้ออกแนวหลับมากกว่าครับ

ขับรถสวนเลน - อันนี้ก็อันตรายมากครับ แน่นอนเลยว่าไม่มีคนปกติที่ไหนกล้าทำ
แบบนี้แน่ ขับแบบนี้จะเมาหรือคึกคะนอง ก็ต้องหลีกเลี่ยงเลยครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก พวกเราชาวบัสส์ ครับผม
MKT Team
38 ค่ายรถลุยเปิดรถใหม่ รถแต่งพิเศษ รวมถึงคอนเซ็ปต์ คาร์ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ที่เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1 - 12 ธันวาคม นี้ พร้อมงัดโปรโมชันเด็ด อีกหลากหลายกิจกรรมที่น่าสนใจเพียบ

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือ “The 27th Thailand International Motor Expo 2010” กล่าวถึงการจัดงานปีนี้ว่า เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเราในฐานะผู้จัดงาน ที่ผู้ประกอบการบริษัทรถยนต์และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่นเช่นทุกปี รวมถึงประชาชนที่สนใจสอบถามข้อมูลของงานและรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะมาอวดโฉมในปีนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นว่ายอดผู้ชมงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านคน





สำหรับรายชื่อของรถยนต์ที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ ออดี้ /เบนท์ลีย์/บีเอ็มดับเบิลยู/ เชอรี่/ เชฟโรเลต/ ซีตรอง/ ดีเอฟเอ็ม/เฟอร์รารี่ / เฟียต/ ฟอร์ด/ โปรตอน/ แกรนด์ แคร์รีบอย/ ฮอนด้า/ ฮุนได / อีซูซุ/ เกีย/ แลนด์ โรเวอร์/ เลกซัส/ มาสด้า/ เมอร์เซเดส-เบนซ์/ มินิ/ มิตซูบิชิ/ มิตซูโอกะ/ เอทีเอ็ม / นิสสัน/เปอโยต์ / ปอร์เช่ /โฟตอน/รูฟ/ สโกดา/ ซันยอง/ ซูบารุ/ ซูซูกิ/ ทาทา/ โตโยตา/โฟล์คสวาเกน และวอลโว รวมถึงค่ายเอ.พี.ฮอนด้า ที่จะนำรถจักรยานยนต์มาเปิดจองในงานด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมงานยังมีโอกาสรับชมและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จะมาสร้างสีสัน ความสนุกสนาน และสาระน่ารู้ พร้อมมอบของที่ระลึกมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

โครงการประกวดนวัตกรรมยานยนต์ (THE 1st MOTOR EXPO AUTOMOTIVE INNOVATION AWARD 2010) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้สนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของนักศึกษาจากหลากหลายสถาบัน โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะนำมาจัดแสดงที่อาคาร ชาเลนเจอร์ 2 บูธ B12
โครงการ "ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับสื่อสากล" (SKILL DRIVING EXPERIENCE) เปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนล่วงหน้าในราคาพิเศษ โดยครูฝึกมืออาชีพ เพื่อพัฒนาทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย ทั้งรถยนต์ขับเคลื่อน 4 และ 2 ล้อ ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่บูธ บริเวณชาเลนเจอร์ 1

ซูบารุ สตันท์ โชว์ (SUBARU STUNT SHOW) ที่จะมาสร้างความอึ้ง ทึ่ง เสียว ให้แก่ผู้ชม เป็นปีที่ 2 สำหรับการแสดงผาดโผนครั้งนี้ รัสส์ สวิฟท์ ยังคงใช้รถยนต์สมรรถนะสูง ซูบารุ อิมพเรซา โดยจัดแสดงระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2553 วันละ 3 รอบ สนใจชมสามารถติดต่อได้ที่บูธ ซูบารุ

มอเตอร์ สปอร์ท โซน (MOTOR SPORT ZONE) กิจกรรมเอาใจคนรักรถแข่งทั้งทางเรียบและทางฝุ่น รถแข่งดริฟท์ ซึ่งปีนี้ยกทัพอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องมานำเสนอราคาพิเศษสุด พร้อมชมสุดยอดรถแข่งที่แฟนพันธุ์แท้หัวใจมอเตอร์สปอร์ทไม่ควรพลาด บริเวณอาคารชาเลนเจอร์ 3

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ยกขบวนรถโบราณทั้งยุคก่อนสงคราม หลังสงคราม และรถคลาสสิค มาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ชมได้ทราบประวัติความเป็นมา รวมถึงพัฒนาการของรถยนต์ในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย

โรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (SPIRIT OF THE 4x4 DRIVING SCHOOL) จำลองสนามฝึกสอนของโรงเรียน ฯ มาไว้ที่ด้านข้างอาคารชาเลนเจอร์ เปิดการสอนหลักสูตรพื้นฐานแบบเร่งรัด เพื่อให้ผู้สนใจเรียนรู้ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่บูธ SPIRIT 4X4 อาคารชาเลนเจอร์ 1

ลานศิลปวัฒนธรรม พบกับการแสดงจากน้องๆ เยาวชนที่มีความสามารถ อาทิ การแสดงดนตรีไทย ดนตรีพื้นบ้าน การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย กระบี่กระบอง หรือการแสดงนาฏศิลป์ ผู้ชมงานที่สนใจสามารถติดตามตารางการแสดงได้บริเวณลานศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย การแสดงจะเริ่มประมาณ 15.00 น.ของทุกวัน
CAR STERO ALLEY & ACTIVITES บริษัทเครื่องเสียงรถยนต์ชั้นนำของเมืองไทย นำรถยนต์ที่ตกแต่งด้วยเครื่องเสียงคุณภาพสูง มาร่วมโชว์พลังเช่นทุกปี พร้อมแดนเซอร์สาวสวยสุดเซกซีที่มาโชว์ลีลาให้แก่ผู้นิยม เครื่องเสียงได้ชื่นชม บริเวณลานแอคทีพ สแควร์ โดยการแสดงจะเริ่มตั้งแต่ช่วงค่ำและสิ้นสุดเวลาประมาณ 22.00 น.

“ที่พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา คือ มหกรรมยานยนต์ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าประชุมร่วมระหว่างรัฐบาลกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังปัญหาอุปสรรคของผู้ประกอบการอันจะนำไปสู่ความร่วมมือ และเข้าใจดีระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในอนาคต ในวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา13.00-14.30น.ณ ห้องจูปีเตอร์ 4-6 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี หลังจากนั้นนายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้แทนในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนบริเวณห้อง Press Center เวลาประมาณ 16.00 น.
เตรียมพบกับนวัตกรรมยานยนต์และร่วมกิจกรรมต่างๆ กันแบบจุใจได้ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ตั้งแต่วันที่ 1 - 12 ธันวาคม 2553 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดงานได้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 13.50 - 15.40 น.
MKT Team
รถยนต์คือ
เครื่องยนต์ จะใช้ขนาด 1800 cc. 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว วัฎจักร atkinson vvt-I
กำลังสูงสุด 73 kw (99 ps) ที่5200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบต่อนาที
ด้านมอเตอร์เจนเนอเรเตอร์ จะมีกำลังสูงสุด 60 kw(82 ps) ทางด้านแรงบิดจะมีถึง 207 นิวตันเมตร แต่ถ้าเครื่องยนต์บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะได้กำลังสูงสุดถึง 100 kw (136 ps) เลยทีเดียว ซึ่งมีกำลังที่เพียงพอรวมถึงการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ตัวเครื่องยนต์จะไร้ซึ่งสายพาน ดังนั้น แรงฉุดที่จะมากระทำหรือภาระที่มีผลต่อเครื่องยนต์ก็จะดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองตกประมาณ ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตรกันเลยทีเดียว ทางด้านการปล่อยไอเสียผ่านมาตรฐาน Euro ระดับที่ 5 น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ตั้งแต่ E10 ขึ้นไป (อี 20 ยังใช้ไม่ได้)
ทางด้านแบตเตอรี่ไฮบริด จะใช้ชนิดนิกเกิ้ลเมทัลไฮดราย ที่มีแรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ มี 28 โมดูล หากเทียบกับ camry จะมีน้อยกว่า เพราะcamry มีแรงดันไฟฟ้า 244.8 โวลต์ มี 34 โมดูล ซึ่งจะแตกต่างกันนั่นเอง ทางด้านการรับประกันในส่วนแบตเตอรี่ไฮบริดนั้น 5 ปี โดยที่ไม่จำกัดระยะทาง
การขับเคลื่อน จะใช้ระบบส่งกำลังแบบ E – CVT เหมือนที่อยู่ใน camry hybrid แต่มีการเลือกรูปแบบการขับขี่ได้คือ 1 EV 2 ECO MODE 3 PWR MODE แต่ละอย่างนั้นมีการทำงานที่ต่างกันแล้วแต่ผู้ขับขี่ต้องการนั่นเอง
คันเข้าเกียร์จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอาจดูแปลกตากันไปบ้าง ที่แน่ๆสะดวกสบายทันสมัย เบาแรง เข้าเกียร์ง่าย การที่จะเข้าเกียร์ผิดตำแหน่งจะกระทำไม่ได้เลย นอกจากนั้นเงื่อนไขในการทำงานผู้ขับขี่จะต้องทำความเข้าใจเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดจะแสดงบนที่มาตรวัดเพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เป็นต้น ผสมผสานกับช่วงล่างทางด้านหน้าแบบเมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ในส่วนของเบรกก็เป็นดีสเบรกทั้งสี่ล้อ ประสิทธิภาพของการเบรกมั่นใจได้เลยว่าสุดยอด หากมีการเบรกแบบกะทันหัน ไฟเบรกท้ายจะมีการทำงานแบบกระพริบทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การบังคับเลี้ยวจะเป็นแบบไฟฟ้า(eps) หากมีการจอดรถบนทางชัน จะมีการทำงานของระบบ HAC ไม่ให้รถมีการเลื่อนไถลขณะออกตัวบนทางชันนั่นเอง จะเหมือนกับรถยนต์ ALPHARD และ LANDCRUISER PRADO เงื่อนไขการทำงาน จะต้องศึกษาเพิ่มเติมเล็กน้อย

มาดูกันที่มิติของรถยนต์ มีความยาวของทั้งหมด 4.46 เมตร กว้าง 1.745 เมตร และสูง 1.49 เมตร เรียกได้ว่ามีการออกแบบได้อย่างลงตัวทีเดียว รัศมีวงเลี้ยวแค่ 5.2 เมตร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน เท่ากับ cd 0.25 เท่านั้น ทำให้การเคลื่อนที่ของรถรวมถึงการทรงตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย การบรรทุกสัมภาระทางด้านท้ายสามารถจุได้ถึง 445 ลิตร ถือว่าไม่น้อยเลย ความจุของถังน้ำมันเชื้อเพลิงก็ 45 ลิตร เรียกได้ว่า หากใช้งานตามเงื่อนไขแทบจะลืมการเติมน้ำมันกันเลยทีเดียว

ถัดมาในเรื่องของอุปกรณ์ภายนอกที่มีให้ใน prius hybrid เริ่มที่ ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED จะออกแนวๆสีฟ้าพิเศษ มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไฟประเภทนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ส่วนหนึ่ง ยังไม่หมดแค่นั้น ยังสามารถปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ และเปิด-ปิดอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นรุ่น top ก็จะมีระบบทำความสะอาดไฟหน้า (pop-up type) มาพร้อมกับตัวรถอีกด้วย กระจกมองข้างเป็นแบบลดการเกาะตัวของหยดน้ำ (hydrophilllic) แต่ก็มีสิ่งที่เหนือชั้นคือ กระจกมองข้างจะ มีระบบไล่ฝ้าให้มาอีกด้วยนะครับ ทางด้านของปัดน้ำฝนด้านหน้าจะเป็นแบบอัตโนมัติส่วนทางด้านท้ายจะเป็นแบบหน่วงเวลาที่ดูเข้ากันกับสปอยร์เลอร์หลังที่ดูโดดเด่นมองเห็นอยู่ทางท้ายรถ
อุปกรณ์ภายในขอนำเสนอที่เด่นๆและเน้นๆใน prius hybrid ได้แก่

- พวงมาลัยหนังแบบ 4 ก้าน

- หน้าต่างไฟฟ้ามาพร้อมระบบป้องกันกระจกหนีบทั้ง 4 บาน

- ไฟเอนกประสงค์มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น ไฟส่องสว่างที่เท้าคู่หน้าก็มีมาให้พร้อมสรรพ ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารก็เป็นแบบอัตโนมัติ กระจกมองหลังก็เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ วัสดุหุ้มเบาะประเภทหนังแท้สีเทา ในรุ่น top ส่วนในรุ่นรองเบาะจะเป็นวัสดุคล้ายกำมะหยี่ ตำแหน่งผู้ขับจะมีชุดดันหลังมาให้ด้วย เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับแยกได้ ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีระบบขจัดฝุ่นละอองที่เหมือนกับรถยนต์ Alphard ที่เบาะคู่หน้าจะมีระบบอุ่นเบาะมาให้ด้วยในรุ่น top ซึ่งจะช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อของร่างกายได้

มาดูกันต่อ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกกันบ้างที่มีให้ ใน prius hybrid เริ่มด้วย push start ที่มีอยู่ในรถยนต์ระดับหรู บวกกับ smart entry ที่อำนวยความสะดวกอย่างมากในการเข้ารถยนต์โดยไม่ใช้กุญแจจะมีด้วยกันถึง 3 ตำแหน่ง (ประตูหน้าซ้าย และขวา, และประตูท้าย) แล้วยังมีระบบการล็อคแบบ 2 ชั้นซึ่งจะเปิดประตูไม่ออกเลยถ้ามีการล็อคไว้เพียงแค่การสัมผัสเท่านั้น ถัดมาก็จอแสดงผลการขับขี่อยากจะบอกว่าในรถยนต์ prius hybrid ไม่ธรรมดาเลย เพราะตำแหน่งของมาตรวัดจะอยู่บริเวณคอนโซลหน้าตรงกลาง สามารถควบคุมและสั่งการได้อย่างง่ายดายโดยผู้ขับขี่ส่งผลให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ขออนุญาตกล่าวถึงรายละเอียดบนหน้าจอสักเล็กน้อยโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 อยู่ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่เหมือนกับรถยนต์ทั่วๆไป

กลุ่มที่ 2 อยู่ตรงกลางของมาตรวัดเลย เป็นการแสดงผลการทำงานและการขับขี่รถยนต์ไฮบริด (advance multi-display zone) ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างๆที่มากมายได้แก่

แสดงการทำงานหรือสถานะการทำงานของระบบไฮบริด (energy moniter)
แสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลือง 1 นาที/ 5 นาที (1 min/ 5 min consumption record)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ของการขับขี่ที่กำหนดไว้พร้อมแสดงผลที่ดีที่สุด (past trip fuel consumption record)
กลุ่มที่ 3 อยู่ทางด้านขวามือของมาตรวัดเป็นการแสดงข้อมูลการขับขี่ทั่วไปและข้อมูลการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆได้โดยเพียงสัมผัสเพียงเบาๆเท่านั้นที่สวิทซ์ที่พวงมาลัย

ดังนั้นข้อมูลที่ต้องการจะทราบสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมกับการที่จะเลือกสามารถกระทำได้แบบไม่ยากเย็นได้ตามความต้องการ

มาดูกันต่อที่พวงมาลัยสามารถควบคุมระบบปรับอากาศ ,ควบคุมเครื่องเสียง ,โทรศัพท์ , รวมถึงความเร็วคงที่ได้โดยสะดวกสำหรับผู้ขับขี่ ไม่ต้องละสายตาจากเส้นทางมากนักทำให้มีความปลอดภัยเช่นกัน สิ่งอำนวยความสะดวกอีกชิ้นหนึ่งคือ สามารถเลือกระบบของการขับขี่ได้แบบ 3 ฟังก์ชั่น (power , eco , ev mode) ได้ตามความต้องการของท่าน ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการแสดงผลการขับขี่แบบอัจฉริยะบนกระจกบังลมหน้า HUD (hand-up display) ได้แก่ ความเร็วรถยนต์, และแสดงผลการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(hybrid system indicator)ทางด้านความบันเทิง ในส่วนของเครื่องเสียง ในรุ่น top จะเป็นแบบ 6cd และ 1cd ในรุ่นรอง ลำโพงทั้งหมดที่มีให้ก็ 8 ลำโพง ควบคุมการทำงานได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีระบบที่รองรับในอนาคตอีกด้วย ทางด้านการเชื่อมต่อ Bluetooth ผ่านทางเครื่องเสียงก็สามารถกระทำได้เช่นกัน

มาดูทางด้านความปลอดภัยกันบ้าง เริ่มด้วยไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ไฟท้ายแบบ LED เลนส์ใส นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่เหนือระดับ คือ หากมีการเบรกแบบกะทันหันไฟเบรกท้ายจะกระพริบ ส่วนระบบ ABS EBD VSC TRC ก็ให้มาอย่างครบชุด ถุงลมนิรภัยรอบคัน ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง อยู่ที่คู่หน้า ด้านข้าง ผ้าม่านด้านข้างและหัวเข่าผู้ขับขี่ ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้ายังมีระบบที่ช่วยลดการกระแทก ระบบป้องกันการโจรกรรม TDS และ immobilizer ยังไม่พอ ยังมีระบบล็อค 2 ชั้นอีกต่างหาก โครงสร้างตัวถังแบบ GOA อันลือชื่อจากโตโยต้า

ในเรื่องของสีที่มีให้เลือก ได้แก่

1. Blackish mica

2. HV Blue

3. Silver Metallic

4. Black

5. White Pearl เฉพาะรุ่น top เท่านั้น

ทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในรถยนต์ prius hybrid ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
ดังนั้น จึงเรียนเชิญมาสัมผัสกับตัวรถจริง ที่ตัวแทนจำหน่ายโตโยต้า ทั่วประเทศหรือ สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ www.toyotabuzz.com หรือ ฝากข้อความำถามไว้ที่ Facebook ของพวกเราชาวบัสส์
MKT Team
นอกเหนือจากเรื่องของการขายแล้วค่ายรถยนต์แต่ละค่ายต่างมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมเพื่อสังคม เช่นเดียวกับค่ายยักษ์ใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้ริเริ่มดำเนินโครงการถนนสีขาว ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2531 โดยได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อมุ่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับกฎและวินัยจราจร และสร้างความตระหนักให้ผู้ใช้รถ ใช้ถนน มีจิตสำนึก และมีน้ำใจ อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักอย่างหนึ่งของบริษัทฯ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการดำเนินโครงการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน
เมื่อไม่นานมานี้นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 องค์กรภาครัฐ ได้แก่นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดี กรมการขนส่งทางบก ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. ปัญญา แก้วกียูร ที่ปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจโท ดนัยธร วงศ์ไทย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนน สู่ทศวรรษแห่งความปลอดภัย สนองนโยบายภาครัฐ ภายใต้แนวคิด “วินัยและน้ำใจ บนท้องถนน”
นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 48 ปี ที่โตโยต้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรที่ดี พร้อมด้วยจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคมไทย ถือเป็นพันธกิจหลักของโตโยต้า ที่ต้องการเติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกๆ ด้าน อาทิ ความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเราดำเนินการภายใต้โครงการถนนสีขาว พร้อมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการศึกษาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาการอย่างยั่งยืนของสังคมและชุมชน
โครงการความร่วมมือรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนกับ 4 หน่วยงานภาครัฐได้แก่

• โครงการให้รางวัลคนทำดี “ขับรถดีมีวินัย มีน้ำใจบนท้องถนน” ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ

• โครงการอบรมครูและผลิตสื่อการสอนด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

• โครงการประกวดแผน และภาพยนตร์รณรงค์ ภายใต้แนวคิด “ถนนแห่งน้ำใจ ถนนแห่งความปลอดภัย”ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

• โครงการผลิตสื่อการสอน “ด้านวินัยจราจร” แก่ประชาชน ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กองบังคับการตำรวจจราจร

• โครงการผลิตสื่อ “การขับรถดี มีน้ำใจ” แก่ประชาชน ร่วมมือกับ กรมการขนส่งทางบก
นายทานาดะ กล่าวต่อไปว่า “การลงนามความร่วมมือรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่โตโยต้าจะดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ที่บูรณาการทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการร่วมวางนโยบายและแผนการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมหามาตรการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยการปลูกจิตสำนึกด้านวินัย และมีน้ำใจบนท้องถนน จนเกิดพฤติกรรมในการ ใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย อันนำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนสืบไป”
MKT Team
พริอุส ไฮบริด ราคายั่วใจ เคาะขายเริ่มที่ 1.19 ล้าน (มีvdo)

ภายนอกมีความโดดเด่น ไฟหน้าแบบ LED มีระบบทำความสะอาดไฟหน้า ด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดแบบพับซ่อนเก็บได้ ส่วนไฟท้ายใช้หลอด LED เพื่อความสว่าง ชัดเจน เช่นกัน ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ภายในหรูหรา เบาะนั่งออกแบบพิเศษ สะดวกสบายด้วยระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) และ ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start)

พร้อมติดคั้งมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออพติตรอน แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ ทั้งโหมดการทำงานระบบไฮบริด โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายในการขับและโดยสารอย่างครบครัน

ระบบเครื่องยนต์ Atkinson Cycle รหัส 2ZR - FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-I ขนาด 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR(Exhaust Gas Recirculation) ติดตั้งระบบระบายความร้อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่รองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้น โดยให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร โดยทำงานควบคู่กับเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการเข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวก ส่วนแบตเตอรีแบบ Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) น้ำหนักเบา ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากนี้ยังติดตั้งโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ คือ ขับขี่ทรงพลัง โหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน และการขับขี่เงียบสนิท ขณะที่ความปลอดภัยมีมาครบครัน

พริอุส ไฮบริด มีให้เลือก 2 รุ่นคือ ขนาด 1.8L Standard ราคา 1.19 ล้านบาท 1.8L Top 1.26 ล้านบาท ส่วนตัวท็อปสีขาวมุก ราคา 1.27 ล้านบาท โดยโตโยต้าพร้อมเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และเริ่มจัดแสดงในโชว์รูมโตโยต้า 320 แห่งทั่วไทยตั้งแต่ 1 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

ภาพ/วิดีโอ

http://www.ecareasy.com/show_colum_detail.php?news_id=1389&news_colums=10
MKT Team
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงข่าวถึงความพร้อมสำหรับการผลิตและจำหน่าย “โตโยต้า พริอุส” ในประเทศไทย เมื่อวันที่
21 ตุลาคม 2553 ที่ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

โตโยต้า พริอุส เมื่อปี พ.ศ.2508 ก่อนที่ประชาคมโลกจะให้ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเหมือนเช่นปัจจุบันนั้นโตโยต้าได้เริ่มพัฒนาระบบไฮบริด และเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีในการทุ่มเทวิจัยพัฒนา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 โตโยต้าจึงได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นรุ่นแรกของโลก จากนั้นในปี พ.ศ. 2546 โตโยต้า พริอุส รุ่นที่ 2 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ไฮบริด ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ได้ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี และในปี พ.ศ.2552 โตโยต้า พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “โตโยต้า มีพันธกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบ ที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงปรัชญาของโตโยต้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้แนะนำ คัมรี ไฮบริด เป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียและประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างอบอุ่น โดยจะมียอดขายบรรลุ 10,000 คัน ภายในเดือนนี้ และเราพร้อมที่จะแนะนำรถยนต์ไฮบริด อีกรุ่นหนึ่ง นั่นคือ พริอุส กับลูกค้าชาวไทย และประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่จะทำการผลิตพริอุส ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้“

“พริอุสนั้น เป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่ผลิตเพื่อการจำหน่าย หลังจากใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดมาเป็นเวลากว่า 30ปี และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก โดยมีจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก มียอดขายสะสมกว่า 2 ล้านคัน สำหรับรถยนต์
พริอุส รุ่นนี้ เป็น เจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยเริ่มแนะนำสู่ตลาดเมื่อเดือน พฤษภาคม ปี 2009 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ด้วยยอดจองในช่วง 2 เดือนแรก กว่า 100,000 คัน และจนถึงขณะนี้ พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ มียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกกว่า 710,000 คัน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวของ พริอุส สามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า โตโยต้า พริอุส เป็นยนตรกรรมที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นล้ำสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สมรรถนะในการขับขี่ที่สนุกสนาน ตลอดจนคุณภาพ ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าทั่วโลก และผมมั่นใจว่า ลูกค้าชาวไทย ก็รอคอยการมาของ พริอุส เช่นกัน”

มร. ทานาดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โตโยต้า พริอุส เจเนเรชั่นที่ 3 นี้จะทำการผลิตที่โรงงานโตโยต้า เกตเวย์ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ วิศวกรของเรา และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและทดสอบคุณภาพของพริอุสให้เหมาะสมกับประเทศไทย อย่างละเอียดถี่ถ้วน ในทุกสภาพการใช้งาน ทุกสภาพอากาศ และทุกสภาพภูมิประเทศ เพื่อความมั่นใจสูงสุด ผมเชื่อมั่นว่า พริอุส ที่จะแนะนำสู่ตลาดในครั้งนี้ จะมีความสมบูรณ์ และเหมาะสมกับตลาดเมืองไทยมากที่สุด”

“พริอุสนั้น ขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid Synergy Drive โดยใช้
เครื่องยนต์แก๊สโซลีนแบบ Atkinson ขนาด 1,800 ซีซี ให้สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผมถือโอกาสนี้ขอบคุณภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญของรถยนต์ประเภทนี้ โดยให้การสนับสนุน ทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญของระบบไฮบริด ทั้งนี้ การสนับสนุนดังกล่าวเป็นผลดีต่อราคาของพริอุส ทำให้ลูกค้าชาวไทยมีโอกาสได้ใช้รถยนต์พริอุส ในราคาประมาณ 1 ล้าน 3 แสนบาท ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 16 พฤศจิกายน และจะเปิดตัวต่อสาธารณชนในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โปที่จะถึงนี้” มร.ทานาดะ กล่าวในที่สุด

7 รางวัลเกียรติยศ สำหรับ โตโยต้า พริอุส ปี 1997-98 รางวัล Car of the year ประเทศญี่ปุ่น
ปี 1999 รางวัล ECO-Mission’99 North America
ปี 2004 รางวัล Motor Trend Car of the Year
รางวัล Car of the year ของทวีปอเมริกาเหนือ
ปี 2005 รางวัล Car of the year ของทวีปยุโรป
ปี 2006 Winner of ECO Challenge
ปี 2008 รางวัล JD Power “Most Dependable Compact Car”

ยอดขาย โตโยต้า พริอุส ทั่วโลก เจนเนอเรชั่นที่ 1 120,000 คัน
เจนเนอเรชั่นที่ 2 1,180,000 คัน
MKT Team
โช้กอัพ (Shock Absorber)เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อรถสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะรถวิ่ง ทั้งยังดูดซับการสั่นของสปริง ทำให้การเด้ง ขึ้น-ลง หรือการเต้นของตัวรถยนต์ ลดน้อยลงทำให้การสั่น หรือการเต้นของน้ำหนัก ที่สปริงไม่ได้รองรับ เช่น ล้อ, เพลาล้อ, ตัวห้ามล้อ ฯลฯ ลดน้อยลง

โช้กอัพ แบ่งตามสื่อการทำงานได้ 2 ระบบ คือ โช้กอัพน้ำมัน โช้กอัพชนิดนี้ใช้น้ำมันไฮดรอลิกเป็นตัวทำงานให้เกิดความหนืดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิกจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบจึงทำให้เกิดฟองอากาศทำให้โช้กอัพทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง

โช้กอัพแก๊ส คือ โช้กอัพที่อาศัยการทำงานร่วมกัน ระหว่างแก๊สไนโตรเจน และ น้ำมันไฮดรอลิก มีหลักการทำงานคือ เมื่อโช้กอัพได้รับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ลูกสูบของโช้กอัพจะเลื่อนตัวลงมาด้านล่างของกระบอกลูกสูบ ทำให้น้ำมันไฮดรอลิกที่บรรจุในกระบอกสูบไหลผ่านวาล์วขึ้นไปห้องน้ำมันด้านบน และน้ำมันอีกส่วนไหลผ่านวาลว์ ด้านล่างเข้าไปในห้องน้ำมันสำรอง ขณะเดียวกัน น้ำมันในห้องน้ำมันสำรอง จะทำการอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน เมื่อแก๊สมีแรงดันก็จะดันน้ำมันไฮโดรลิกที่อยู่ในห้องน้ำมันสำรอง กลับเข้าสู่กระบอกสูบดังเดิม โดยในขณะเดียวกันแรงดันที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ฟองอากาศแตกตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรทราบก็คือ จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของคุณควรเปลี่ยนโช้กอัพ?. สังเกตง่ายๆเมื่อรถมีอาการเต้นหรือกระโดดขึ้นลงเมื่อขับรถผ่านทางขรุขระโดยทดสอบอย่างง่ายๆ ให้ท่านเหยียบบนกันชนและขย่มหลายๆ ครั้ง หลังจากปล่อยเท้าออกแล้ว ถ้ารถยังเต้นขึ้นลงต่อไปแสดงว่าโช้กอัพเสียหรือเป็นโช้กอัพไม่ได้มาตรฐาน

การติดตั้ง “โช้กอัพใหม่” ไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพการทำงานของโช้คอัพจะเต็ม 100% เสมอไป หากผู้ติดตั้งไม่ได้ทำการเช็กโช้กอัพให้พร้อมก่อนการติดตั้ง มักจะเกิดปัญหาตามมา รวมถึงอายุการใช้งานของโช้กอัพก็จะสั้นกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย สาเหตุอาจเกิดจากโช้กอัพดังกล่าวเป็นโช้กอัพประเภทโช้คแก๊ส 2 กระบอก (Twin Tube) ซึ่งหากเป็นโช้กที่สมบูรณ์จากโรงงาน “แก๊ส” จะต้องอยู่ในโช้กอัพกระบอกที่ 2 (Reserve Tube) แต่ความผิดปกติเกิดจากการที่แก๊สหลุดเข้าไปอยู่ในกระบอกแรก ทำให้โช้กอัพเสียแรงเสียดทาน ดังนั้นเมื่อลูกสูบโช้กสัมผัสแก๊สส่งผลให้การเคลื่อนที่ของแกนโช้กผิดปกติ

ที่สำคัญก็คือการ “เช็กความสมบูรณ์ของโช้กอัพ” ก่อนการติดตั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานของโช้กอัพเต็ม 100% ด้วยวิธีง่ายๆ และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งช่างผู้ติดตั้งสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆ ช่วย การเช็คความสมบูรณ์ของโช้คอัพก่อนการติดตั้ง ดังภาพประกอบที่ 1 จะเริ่มจาก

• วางโช้กอัพในลักษณะตั้งขึ้น เหมือนการติดตั้งในรถ
• กดโช้กอัพลงให้สุด และปล่อยให้แกนโช้คเคลื่อนตัวขึ้น
• หากมีช่วงในการกดและคืนตัวที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น มีอาการวืดในบางช่วง ให้สันนิษฐานว่ามีอากาศอยู่ภายในกระบอกโช้ก

เมื่อพบความผิดปกติของโช้กอัพก่อนการติดตั้งก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้
•คว่ำโช้กลง และกดให้แกนโช้กเข้าไปในกระบอกโช้กจนสุด
• หงายโช้กขึ้นในลักษณะเหมือนการติดตั้งปกติ
• ปล่อยแกนโช้กให้ขึ้นมาด้วยแรงดันภายในกระบอกโช้กตามปกติ

ทำซ้ำขั้นตอนประมาณ 3 ครั้ง หรือสามารถสังเกตการเคลื่อนตัวของแกนโช้กให้เคลื่อนตัวขึ้นอย่างราบเรียบ เท่านี้ก็สามารถนำโช้กอัพไปติดตั้งได้แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นช่างก็สามารถจดจำวิธีการนี้ ไปแนะนำกับช่างเพื่อทดสอบความละเอียดรอบคอบของช่าง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง
MKT Team
การขับรถยนต์ให้ปลอดภัย นอกจากผู้ขับต้องมีความชำนาญแล้ว ท่าทางในการขับก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญว่าจะเพิ่มหรือ
ลดประสิทธิภาพในการควบคุมรถยนต์ และทัศนวิสัยในการขับ ผู้ขับหลายคนปรับเบาะได้ถูกต้องแล้ว แต่พยายามโยกตัวมาด้านหน้า เพื่อให้มองเห็นปลายของฝากระโปรงหน้า บางคนชอบปรับเบาะให้เอนมากๆ แล้วชะโงกตัวขึ้นมาโหนพวงมาลัยแผ่นหลังจึงไม่สัมผัสพนักพิงอย่างเต็มที่ ทำให้สูญเสียความฉับไวและความแม่นยำในการควบคุมรถยนต์

การปรับตำแหน่งเบาะ ส่วนใหญ่ปรับได้อย่างน้อย 3 จุด คือ
ระยะของเบาะนั่ง มุมเอียงของพนักพิงและระดับสูง-ต่ำของหมอนรองศีรษะ
ส่วนการปรับระดับสูง-ต่ำของเบาะนั่งหรือมุมเอียงของหมอนศีรษะ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับได้จนเหมาะสมมากขึ้น
การปรับเบาะนั่งให้ได้ระยะที่เหมาะสม สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดาทำได้โดยใช้ฝ่าเท้าซ้ายเหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด
(ไม่ควรใช้ปลายเท้าเหยียบคลัตช์) จากนั้นเลื่อนเบาะให้หัวเข่าซ้ายงอเล็กน้อย

สำหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งไม่มีแป้นคลัตช์ ให้ใช้เท้าซ้ายเหยียบลงบนแป้นพักเท้าหรือพื้นรถยนต์ และใช้ฝ่าเท้าขวาเหยียบแป้นเบรกจนสุดไว้ จากนั้นเลื่อนเบาะนั่งให้หัวเข่าขวางอเล็กน้อย สาเหตุที่ต้องปรับให้หัวเข่ายังงอขณะเหยียบเบรกจนสุด ก็เพื่อไม่ให้ร่างกายรับแรงกระแทกหากเกิดการชน แรงกระแทกจากแป้นเบรกจะดันเข้ามา หัวเข่าที่งออยู่แล้วก็จะสบัดขึ้น ช่วยลดแรงกระแทก แต่ถ้าปรับเบาะไว้ห่างเกินไป จนต้องเหยียบขาตึงเวลาเหยียบเบรก เพราะเมื่อเกิดการชน ขาที่เหยียดตรงจะรับแรงกระแทกเข้ามายังสะโพกแบบเต็มๆ

การปรับมุมเอียงของพนักพิง แผ่นหลังแนบกับเบาะ ให้ใช้มือซ้าย-ขวา จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา (หรือ 10 และ 2 นาฬิกา) และปรับตำแหน่งพนักพิง กระทั่งข้อศอกทั้ง 2 ข้างหย่อนเล็กน้อย แล้วลองเลื่อนมือไปจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 12 นาฬิกา แขนต้องยังไม่ตึง โดยไม่ต้องโยกตัวขึ้นมา หรือแบมือพาดลงไปด้านบนสุดของวงพวงมาลัย ต้องอยู่บริเวณข้อมือจึงจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการขับมากที่สุด

การนั่งห่างหรือปรับพนักพิงเอนมากไป ทำให้ต้องมีการโยกลำตัวขึ้น-ลงในบางจังหวะที่หมุนพวงมาลัย ทำให้ขาดความฉับไว และการทิ้งน้ำหนักที่ผิดอาจทำให้กระดูกสันหลังมีปัญาหาในระยะยาวได้ การนั่งชิดพวงมาลัยเกินไป อาจเกิดจากความต้องการมองด้านหน้าสุดของฝากระโปรงหน้า เพราะกลัวจะกะระยะไม่ถูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะด้านหน้าของรถยนต์ยุคใหม่มักงุ้มต่ำ บางรุ่นต้องชะโงกแบบสุดๆ ถึงจะเห็น

ดังนั้นควรใช้วิธีกะระยะเอาเองดีกว่า ข้อศอกที่งอมากเกินไป ก็ชิดลำตัว ทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่คล่อง อีก 2 ประเด็น ที่สำคัญคือ การนั่งชิดพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แม้คาดเข็มขัดนิรภัยก็ยังเสี่ยงต่อการอัดเข้ากับพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะเข็มขัดนิรภัยอาจรั้งได้ไม่ทัน
MKT Team
พอจะได้ยินเสียงไดสตาร์ตและการหมุนของเครื่อง แต่เป็นการหมุนช้าๆ อืดๆอาการนี้มักจะมีปัญหามาจากแบตเตอรีไฟอ่อน ทั้งแบตฯ เสื่อม หรือไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาหาที่ตัวเครื่อง

อาการเสียแบบนี้ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นและเข้าเกียร์ 2 ถอนคลัตช์ กระตุกติดเครื่องได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติก็สามารถพ่วงแบตเตอรีจากภายนอก เพื่อสตาร์ตเครื่องให้ติดได้

เมื่อเครื่องทำงานแล้ว ให้ดูไฟรูปแบตเตอรีที่หน้าปัด ว่าสว่างหรือเรื่อๆ หรือไม่ ถ้ามี แสดงว่าระบบไดชาร์จไม่ปกติ ใช้แต่ไฟจากแบตฯ ีจนอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่นานเครื่องก็๋จะดับ ถ้าจะขับให้ได้

ไกลหน่อย ก็ต้องหาแบตที่มีไฟมากๆ มาใส่หรือพ่วงไว้แต่ถ้าไฟรูปแบตเตอรีไม่สว่าง แสดงว่าการชาร์จไฟปกติ ถึงแบตฯ จะเสื่อม แต่ถ้าไม่ทำให้เครื่องดับ ก็สามารถขับไปได้เรื่อยๆ

++ บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเร็วด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ทำงานเอง++

อาการนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า แบตเตอรีเสียหรือไดสตาร์ตเสีย เตรียมหาแบตฯ มาพ่วง ทั้งที่ความจริง แบตฯ และไดสตาร์ตเป็นปกติ เพราะเมื่อบิดกุญแจแล้ว เครื่องหมุนได้เร็วด้วยไดสตาร์ต

แต่เครื่องไม่สามารถทำงานได้เอง เมื่อปล่อยการบิดกุญแจเครื่องก็หยุดหมุนปัญหาอยู่ที่ตัวเครื่อง เพราะแบตฯและไดสตาร์ตปกติดี ไม่ต้องเข้นกระตุกหรือหาแบตฯมาพ่วง ให้ตรวจสอบที่ตัว

เครื่องยนต์ เช่น มีไฟมีเลี้ยงระบบหรือไม่ ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานดีหรือเปล่า ฯลฯ โดยต้องตรวจสอบระบบต่างๆ ของเครื่องเพื่อหาปัญหาที่แท้จริงอาการนี้ มีแนวโน้มจะซ่อมในพื้นที่ซึ่งรถ

จอดเสียได้ยากกว่า 2 อาการแรก ที่ถ้าทำให้เครื่องหมุนได้เครื่องก็ทำงานเองได้ และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบชั่วคราวได้ง่าย

แค่กระตุกรถหรือพ่วงแบตเตอรีก็น่าจะไปได้เครื่องหมุนจี๋ด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ทำงานเอง เป็นปัญหาที่เครื่อง ไม่เกี่ยวกับไดสตาร์ตและแบตฯ หลายกรณีที่พบ อาจไม่สามารถซ่อม

บริเวณที่รถจอดอยู่ได้อย่างสะดวก ต้องยกหรือลากรถไปซ่อมต่อไป

++ อาการเครื่องไม่ติด ตั้งสติค่อยๆ ดูว่าอาการจริงเป็นเช่นไร เพื่อบอกช่างหรือคนที่มาช่วยได้ละเอียด เพราะอาจไม่ใช่ปัญหาจากแบตหรือไดสตาร์ตผิดปกติเสมอไป ++
MKT Team
หลังน้ำลด ปัญหาหลายอย่างใช่ว่าจะไหลตามน้ำไป ร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สิน คงต้องใช้เวลาฟื้นฟู ในส่วนของรถยนต์ที่เป็นเหมือนเพื่อนตายของรัก ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยไว้นานพวกอุปกรณ์ทางเทคนิค และไม่ใช่เทคนิคก็มีโอกาสเน่า และทำให้ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมยาก
การดูแลรถยนต์ที่โดนน้ำท่วมห้องเครื่อง หรือสูงมิดคัน (เพราะถ้าต่ำกว่านั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก แต่ก็จำเป็นต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกเช่นกัน
1.พึงเอาไว้ว่าอย่าทำการสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจให้ไฟออนโดยเด็ดขาด จากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่งหรือจะปลดทั้ง ขั้วบวกขั้วลบก็ได้ (จริงๆถ้าคุณคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่องให้เตรียมปลดขั้วแบตเตอรี่ เอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีที่สุด) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ รวมถึงเครื่องยนต์

2.เปิดประตูออกทุกบาน ให้ลมโกรก หรือถ้ามีแดดให้จอดตากแดด จากนั้นถอดเบาะนั่ง พรม ผ้าต่างๆ ที่อยู่ภายในรถออกมาซักทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นาน ความเหม็นอับจะมาเยือน

3.เริ่มเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่พอจะทำได้เอง คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า โดยเฉพาะขั้วสายไฟภายในห้องเครื่อง ทั้งตัว ECUและ รีเรย์ต่างๆ จากนั้นฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น หรือใช้ไดร์เป่าผม เป่าให้แห้ง

4.ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ (ต้องรีบเอาน้ำออกจากระบบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันสนิมจับ) รวมถึงเปลี่ยนกรองอากาศ ซึ่งประเด็นนี้ใครทำเองได้ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการเร็วโอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้องและละเอียดมาก

...ทั้งหมดเป็นวิธีการดูแลเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้วรถโดนน้ำท่วมขนาดนี้ ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกทันที ซึ่งน่าจะดีกว่าถ้าเลือกใช้บริการจากรถยก และขอย้ำว่าห้ามสตาร์ทเครื่องโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตามการที่รถสุดรักของคุณจะฟื้นกลับมาดีดั่งเดิมได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับเวลาที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือความสามารถในการนำกลับมาดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเภทของรถ กล่าวคือถ้ารถยิ่งมีระบบไฟฟ้าซับซ้อน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากตามไปด้วย
ถ้ารถจมบาดาลอยู่ 1-2 วัน โอกาสแก้สภาพกลับมาเหมือนเดิมได้เกิน 90% แต่ถ้านานกว่านั้น ECUเข้าขั้นโคม่า ชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆจะโดนความชื้น สนิมเริ่มกิน รวมถึงขี้เกลือต่างๆเริ่มจับตัว ดังนั้นเปอร์เซ็นที่จะคืนสภาพก็จะลดลงตามวันเวลาที่แช่น้ำ

ในส่วนของราคาค่าซ่อม ขึ้นอยู่กับสภาพการและประเภทรถตามที่กล่าวไปข้างบน และน่าจะอยู่ระดับ 50,000-100,000 บาท (แต่ถ้าโอเวอร์ฮอล์เกินนี้แน่นอน) ซึ่งใครทำประกันภัยชั้นหนึ่ง หรือมีกรมธรรม์ครอบคลุมอุทกภัยเอาไว้น่าจะใจชื้นได้บ้าง

แหล่งที่มา http://www.manager.co.th
MKT Team
การขับรถบนถนนเปียก หรือขับรถลุยแอ่งน้ำตื้นๆ แล้วเกิดอาการลื่นไถล หรือดึงแถเอียงไปข้าง รวมถึงอาการหนักถึงขั้นหมุน คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า เมื่อถนนเปียกจะลื่นกว่าถนนแห้ง แต่มักไม่ได้มองลึกถึงต้นเหตุที่แท้จริง คือ อาการเหินน้ำ (HYDROPLAINING)

++หน้าสัมผัสของยาง ต้องกดแนบพื้น จึงจะยึดเกาะ++
เป็นหลักการพื้นฐานง่ายๆ ว่า ยางรถจะเกาะถนนได้ด้วยหน้าสัมผัสที่กดแนบกัน และไม่ได้แค่แนบธรรมดา แต่เป็นเหมือนเฟืองยางนิ่มถี่ๆ ที่ถูกแรงกดแต่ละล้อหลายร้อยกิโลกรัม ให้แทรกตัวลงบนพื้นถนนที่เป็นเหมือนเฟืองแข็งไร้ระเบียบ ไม่ได้เรียบแบบกระจก ไม่ได้แนบกันเหมือนกับเอาฝ่ามือแนบกับกระจก ลองนึกภาพตามว่ายางกับถนน จะคล้ายกับคนใส่รองเท้าแตะฟองน้ำเดินอยู่บนผิวยางมะตอยหรือคอนกรีตผิวหยาบ หน้าสัมผัสของหน้ายางที่ถูกกดลงบนผิวถนน ทำให้เกิดแรงเสียดทานและนั่นคือ การเกาะถนน ยิ่งมีหน้าสัมผัสมากยิ่งดี แต่ก็ต้องเหมาะสมกับประเภทของรถและลักษณะการใช้งาน ไม่ใช่รถคันเล็กใช้งานทั่วไป แต่ใส่ยางหน้ากว้างมากๆ

การ ใส่ยางหน้าสัมผัสกว้าง แม้จะมีพื้นที่สัมผัสกับพื้นโดยรวมใกล้เคียงกับยางหน้าแคบ เพราะน้ำหนักกดลงในแต่ละล้อเท่าเดิม ยางที่กลวงและมีแรงดันลมภายใน จะพยายามทำให้ยางมีหน้าสัมผัสโดยรวมใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะใส่ยางหน้ากว้างหรือแคบ หากแรงดันลมยางและน้ำหนักที่กดลงเท่าเดิมแต่ยางหน้ากว้าง จะมีการเฉลี่ยแรงกดในหน้าสัมผัสแต่ละตารางมิลลิเมตรได้ใกล้เคียงกันกว่าหน้า แคบที่มีแรงกดต่อหน่วยพื้นที่มากๆ เฉพาะในช่วงกลางของหน้าสัมผัส ยางหน้ากว้างจะมีการเฉลี่ยแรงกดในแต่ละหน่วยพื้นที่ได้ดี ทำให้เกาะถนนดีเมื่อรถแล่น เพราะเฟืองยางนิ่มๆ (ที่มองไม่เห็น) จะหลุดออกจากหน้ายางได้ยากกว่าการ เกาะถนน เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อยางมีหน้าสัมผัสกับพื้น เฟืองยางถี่ๆ ไม่ถูกปั่นหรือไถลจนหลุด ส่วนร่องยางหรือดอกยาง มีไว้เพื่อรีดน้ำหรือให้น้ำแทรกตัวเข้าไปอยู่ได้ชั่วคราว แล้วไล่ออกไปได้บางส่วน การที่บอกว่ายางไร้ดอกหรือยางหัวโล้นจะไม่เกาะถนน ต้องเน้นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นบนถนนเปียก ส่วนบนถนนเรียบแห้งจะเกาะถนนดีกว่ายางมีดอก อย่างเช่นรถแข่งทางเรียบใช้กันและเรียกยางไร้ดอกว่า ยางสลิก

++ อาการเหินน้ำ++

ชื่อไม่ค่อยคุ้น เรียกไม่ง่ายนัก แต่ถ้านึกภาพตามจะเข้าใจได้ง่าย คนส่วนใหญ่ทราบว่า เมื่อพื้นเปียกจะลื่น แต่ไม่ค่อยเข้าใจถึงการอาการเหินน้ำซึ่งเป็นต้นเหตุของการลื่น และถึงรถจะไม่มีอาการลื่นอย่างชัดเจน ขณะที่ยางหมุนผ่านพื้นเปียก ก็เกิดอาการเหินน้ำขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะหน้าสัมผัสย่อมไม่เต็มร้อยแบบพื้นแห้ง การลื่นของคนเดินบนพื้น กับการลื่นของยางรถขณะรถแล่นไป คล้ายกันแค่บางส่วน แต่จริงๆ แล้วต่างกัน คล้ายกันตรงที่จะเกิดการยึดเกาะได้ก็ต่อเมื่อมีหน้าสัมผัสกับพื้นโดยไม่มี น้ำคั่น แตกต่างกันที่รองเท้าเป็นการกดลงจากด้านบน แต่ยางรถเป็นการหมุนไล่ไปเรื่อยๆ

อาการลื่นเมื่อพื้นเปียก เกิดขึ้นจากการมีชั้นหรือฟิล์มของน้ำอยู่บนผิวของพื้นแล้วหน้าสัมผัสที่กดลง ไป ไม่สามารถกดหรือกระแทกไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสได้ทั้งหมด กลายเป็นมีฟิล์มน้ำแทรกอยู่ระหว่างกลาง ยิ่งมีน้ำแทรกอยู่ระหว่างกันเป็นพื้นที่มากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดอาการลื่นมาก ยางที่หมุนไปบนพื้นเปียก ต้องพยายามกดไล่น้ำออกไปทั้งสองข้าง และน้ำบางส่วนต้องแทรกเข้าไปในร่องของดอกยางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เหลือหน้าสัมผัสใกล้เคียงตอนถนนแห้งมากที่สุด

อาการ เหินน้ำ คือ การที่ยางไม่สามารถไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสได้มากพอหรือทันท่วงที กลายเป็นอาการยางหมุนอยู่บนฟิล์มน้ำ ไม่ได้หมุนโดยการสัมผัสกับพื้น หมุนแต่หมุนลอยอยู่บนชั้นของน้ำ โดยอาการเหินน้ำไม่จำเป็นล้อเหินเต็มหน้าจนลื่นไถล แต่เหินแค่บางส่วนของหน้ายางก็ถือว่าเกิดอาการเหินน้ำแล้ว เพียงแต่ผู้ขับจะคิดว่าเมื่อไรที่ลื่นถึงจะเป็นการเหินน้ำ

หากยังงง ให้นึกภาพเปรียบเปรยกับการราดน้ำไว้บนพื้นหรือโต๊ะ เอาฝ่ามือตบลงบนน้ำ จะรู้สึกได้ว่า มือจะไม่แนบลงไปสนิทเหมือนตอนแห้งๆ ถ้าแนบนิ้วมือให้ชิดกันก็คล้ายกับยางไม่มีดอก การตบลงเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัส จะแย่กว่าการกางนิ้วมือออกจากกันเล็กน้อย ร่องระหว่างฝ่ามือที่ให้น้ำแทรกเข้าไปได้ก็คล้ายกับร่องดอกยางนั่นเอง

++อาการที่ผู้ขับรู้สึก++

ถ้าเกิดอาการเหินน้ำมาก ก็จะรู้สึกว่ารถลื่น พวงมาลัยไม่สามารถควบคุมทิศทางได้เต็มที่ หรือแย่ถึงขั้นลื่นไถล รวมถึงรถหมุนคว้างเลยก็มี ในความเป็นจริง ส่วนใหญ่เป็นอาการเหินน้ำ คือ มีชั้นของน้ำอยู่เหนือพื้น หน้าสัมผัสของยางกดลงบนพื้นได้น้อยกว่าสภาพการขับรถในขณะนั้น หน้ายางบางส่วนหรือหลายส่วนหมุนอยู่บนชั้นน้ำ ไม่ใช่บนพื้น ไม่มียางรถรุ่นใดยี่ห้อใดรีดน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ผลิตยางรถล้วนพยายามลดอาการเหินน้ำของยางให้น้อยลงในยางรุ่นใหม่ทุกรุ่น ที่ผลิตออกมา แต่ก็ไม่เคยทำให้ปลอดอาการเหินน้ำเลย ไม่ว่าจะเป็นยางรุ่นใหม่หรือโฆษณาว่ารีดน้ำดีเพียงไร ก็อย่าฝันว่าจะปลอดการเหินน้ำ ถ้าพื้นเปียกและรถแล่นอยู่ ยังไงยางก็จะรีดน้ำได้ไม่หมดสนิท ไม่ลื่นมากก็น้อย ไม่เหินน้ำมากก็น้อย ยิ่งผิวน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ทำให้ยางหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกดเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสก็จะแย่ลงกว่าน้ำผิวบางและรถแล่นช้า ทำให้ยางหมุนผ่านไปช้าๆ

++สรุปง่ายๆ ว่า ยิ่งน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดอาการเหินน้ำมากขึ้น++

ผู้ขับรถจึงจำเป็นต้องประเมินสภาพของน้ำบนพื้นผิว กับประสิทธิภาพการรีดน้ำของยางรุ่นที่ใช้อยู่ว่า สภาพพื้นเปียกในขณะนั้นควรใช้ความเร็วเท่าไรจึงจะปลอดภัย สภาพพื้นเปียกที่น่ากลัวที่สุดคือ การเกิดอาการเหินน้ำในล้อเดียว หรือเหินน้ำไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เจอแอ่งน้ำตื้นๆ โดยไม่คาดคิด และไม่ได้เจอทุกล้อ แต่เจอแค่ล้อข้างเดียว เช่น เส้นทางโล่งตรง ผู้ขับจึงชะล่าใจใช้ความเร็วสูง ขับไปเรื่อยๆ ก็ไม่น่ากลัวอะไร เมื่อควบคุมได้ดีก็ชะล่าใจคงความเร็วนั้นไว้หรืออาจเร่งความเร็วขึ้นเล็ก น้อย หาก บังเอิญเจอแอ่งน้ำตื้นๆ ในบางล้อ ก็จะเกิดการลื่นไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เช่น ล้อหน้าซ้ายลื่น ล้อหน้าขวาเกาะกว่า รถก็ปัดเป๋ พวงมาลัยดึงหรืออาจถึงขั้นรถหมุนเลยก็เป็นได้ อาการลื่นของยางบนถนนเปียก ต้องทำความเข้าใจกับอาการเหินน้ำใช้ความเร็วให้เหมาะกับสภาพถนน อย่าชะล่าใจ และระวังจะเจอแอ่งน้ำตื้นหรือผิวถนนมีน้ำหนาไม่เท่ากันโดยบังเอิญ ก็จะเกิดอาการดึงจะรถเสียการทรงตัวได้
MKT Team
คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆ ถึงต่างจังหวัด
มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแล
และตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงขอแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น
กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง

????? 1. สัญญาณเตือน เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ
การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็ค
และซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

??? 2. เครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
??????? – เครื่องร้อนจัดเกินไป? ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
??????? – เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
??????? – มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
???? ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

??? 3. ยาง การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
??????? – ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
??????? – ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
??????? – ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
??????? – ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
???? ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

??? 4. คลัตซ์ คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
??????? – คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท? หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
??????? – คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
??????? – แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
???? ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

???? 5. เกียร์ เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
??????? – มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
??????? – เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
??????? – มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
??????? – ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา????
???? ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

??? 6. พวงมาลัย พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
??????? – พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
??????? – พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
??????? – พวงมาลัยสั่นในขณะขับ????
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

???? 7. เบรก ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
??????? – เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
??????? – เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
??????? – แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
???? ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที

???? 8. ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง
แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควร ปล่อยทิ้งไว้
รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

??? 9. หลอดไฟ หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า ?เรกูเลเตอร์?
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้ เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่

???? 10. น้ำมันหล่อลื่น ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่า
เครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที ถ้าอู่อยู่ไกลให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่น
ไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถ ลากไปอู่ซ่อม
ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์
MKT Team
รถชน!!!.....อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี

อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทยด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่นำมาให้อ่านกัน

1 ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์

ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม

2 ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน

สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยังสามารถพูดไ
ด้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง

3 ถ้าท่านเป็นผู้ขับ

กรณีนี้อย่าหนีเป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้
3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล
3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที
แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็น คนขับรถอะไร
3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย
3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจ
มีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด
3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท
แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4 ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที

เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี

5 ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที

นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพไว้เพราะ
จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง

6 ควรช่วยเหลือคนเจ็บ หรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต

เรื่องนี้สำคัญมากๆคนขับรถมักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ความจริงเมื่อคุณขับรถชนคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บหรือขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษทางอาญฟา

- ทางอาญา คุณอาจจะต้องรับโทษจำคุก

- ทางแพ่ง คุณจะต้องชดเชยค่าเสียหายค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับคู่กรณี หากคุณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ชนแล้วหนี ต่อมาเมื่อเรื่องถึงศาล ศาลก็จะเห็นถึงความมีน้ำใจของคุณก็อาจจะรอลงอาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณหนีศาลมักจะให้จำคุกเลยเพราะเห็นว่าคุณเป็นคนแล้งน้ำใจ การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มาก

ยกตัวอย่างเช่นถ้าไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่าไม่ให้คืนของกลางให้แก่ผู้ต้องหาจนกว่าผู้ต้องหาจะพยายามต
กลงกับผู้เสียหายและถ้าคุณยอมชดเชยค่าเสียหายและค่าทำศพให้กับผู้เสียหาย คดีแพ่งก็ระงับเพราะถือว่ายอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว

ทั้งนี้การใช้รถใช้ถนนร่วมกันให้ดีขึ้นนั้น เราทุกคนควรขับรถอย่างมีสติไม่ประมาทและมีน้ำใจให้แก่กัน เพียงเท่านี้อุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว
MKT Team
ไม่อยาก "เบรกแตก"..ต้องอ่าน!
ทุกคนต่าง รู้ดีว่าระบบเบรกที่ดี ย่อมหมายถึงความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนน แต่ในทางกลับกัน เวลาเข้าศูนย์หรือตรวจเช็ครถตามระยะ เรามักตรวจสอบเครื่องยนต์ เกียร์ และล้อ โดยมองข้ามระบบเบรกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักไม่ใส่ใจในการเลือกน้ำมัน เบรกที่ใช้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่อย่างปลอดภัย
เพราะน้ำมันเบรก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราเหยียบเบรก แรงดันที่เหยียบจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อทั้ง 4 ล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลง หรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย

1. เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก ช่วยป้องกันการสึกหรอ
2. ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ
3. คงสภาพได้นาน แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดตามล้อมธรรมชาติ เช่นความชื้น
4. มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยง่าย ทนต่อแรงดันจากแรงเหยียบอย่างต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกดังกล่าว จุดเดือดของน้ำมันเบรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเนื่องจากเวลาเหยียบเบรกที่ ความเร็วสูงหรือบรรทุกหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยและกลายเป็นไอ ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังในระบบเบรกได้ จึงทำให้เบรคไม่อยู่ หรือที่เรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง
ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรตรวจเช็คระดับของน้ำมันเบรกอยู่เป็นประจำว่าอยู่ในระดับที่ เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่ถ้าน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึก ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ได้
นอกจากตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว ยังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี
อีกข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรนำน้ำมันเบรกต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกันมาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่าย
MKT Team
การปรับเบาะและท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง มีผลมากต่อความปลอดภัยในการขับรถ รวมถึงความปลอดภัยเมื่อเกิดการชนด้วย การปรับเบาะที่ถูกต้องทำได้ไม่ยาก แค่ใช้ฝ่าเท้า เน้นว่าฝ่าเท้า ไม่ใช่ปลายเท้า เหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด หรือถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็ใช้ฝ่าเท้าเหยียบแป้นเบรก แล้วเลื่อนตัวเบาะนั่งให้เข่างอเล็กน้อย นั่นเป็นตำแหน่งของเบาะนั่งที่เหมาะสม

ส่วนการปรับพนักพิงที่ถูกต้อง จะต้องไม่เอนหรือตั้งเกินไป ถ้าปรับพอดี จะเช็คได้โดย ใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวา 3 นาฬิกา แล้วข้อศอกต้องงอเล็กน้อย แต่แผ่นหลังต้องแนบกับพนักพิงตลอดเวลา

ปรับเสร็จแล้วลองเลื่อนมือไปวางไว้บนสุดของวงพวงมาลัย แถวๆ ข้อมือต้องแตะกับพวงมาลัยจึงจะถูกต้อง ถ้าวงพวงมาลัยอยู่เลยไปถึงกลางฝ่ามือหรือโคนนิ้ว แสดงว่าปรับพนักพิงเอนเกินไป ถ้าวงพวงมาลัยอยู่ชิดเลยข้อมือเข้ามาแสดงว่านั่งชิดเกินไป

หมอนรองศีรษะก็สำคัญ ควรปรับให้พอดีโดยให้เอนศีรษะแล้วพิงช่วงกลางหมอนพอดี แต่ศีรษะไม่ต้องพยายามพิงหมอนเวลาขับ เพราะหมอนรองศีรษะมีไว้รองรับเมื่อเกิดการชนแล้วศีรษะจะได้สะบัดไปด้านหลัง น้อย ไม่ใช่ไว้พิงตอนขับ

เข็มขัดนิรภัยถ้าปรับสูง-ต่ำได้ ก็ควรปรับต่อจากการปรับเบาะ จะได้พอดีกัน ที่ถูกต้องสายเข็มขัดนิรภัยต้องพาดจากไหปลาร้าเฉียงลงมาที่สะโพก ส่วนด้านล่างก็พาดอยู่แถวกระดูกเชิงกราน อย่าให้สายพาดคอ หรือห้อยเลยหัวไหล่ลงไป

พวง มาลัยของรถรุ่นใหม่ๆ มักปรับสูงต่ำได้ ก็ควรปรับให้พอดี คือ ไม่สูงเกินไปเพราะจะเมื่อยเมื่อขับนานๆ และไม่ต่ำเกินไปจนติดต้นขา กระจกมองข้างและกระจกมองหลังเปรียบเสมือนตาหลังของคนขับ กระจกมองข้างควรปรับไม่ก้มหรือเงยเกินไป และปรับให้เห็นด้านข้างของตัวรถเรานิดๆ อย่าให้เห็นแต่ทางด้านหลังล้วนๆ ส่วนกระจกมองหลังก็ปรับให้เห็นด้านหลังเป็นมุมกว้างที่สุด ไม่ใช่ปรับไว้ส่องหน้าตัวเองแบบที่หลายคนทำกัน

ทั้งหมดที่แนะนำต้องปรับตอนรถจอดนิ่งในที่ปลอดภัย อย่าปรับตอนขับรถหรือจอดบนถนน อันตราย ถุงลมนิรภัย หรือแอร์แบ็ก ซึ่งรถรุ่นใหม่ๆ มักมีมาให้อย่างน้อย 1 ใบในฝั่งผู้ขับ

ถุงลมนิรภัยจะพองตัวขึ้นเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีไว้รองรับร่างกายส่วนบนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้ปะทะกับพวงมาลัยหรือแผงหน้าปัดโดยตรง ช่วยลดความบาดเจ็บได้ แต่ก็ต้องมีการใช้งานที่ถูกต้องด้วย

สิ่ง สำคัญในการขับรถที่มีถุงลมฯ คือ ต้องปรับเบาะและพนักพิงให้เหมาะสม อย่าให้ชิดเข้ามามากเกินไป คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และจับพวงมาลัยให้ถูกตำแหน่ง ถ้าปรับเบาะชิดไป และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างกายส่วนบนอาจปะทะกับถุงลมฯ ผิดจังหวะ คือ ปะทะตอนถุงลมยังพองตัวไม่สุด ร่างกายพุ่งไปด้านหน้าแล้วเจอกับถุงลมฯ ที่พุ่งสวนออกมา กลายเป็น 2 แรงบวกเจ็บหนักแน่

การจับพวงมาลัยก็เกี่ยวข้องกับถุงลมฯ เพราะถ้าจับไม่ถูกตำแหน่งแขนอาจไปขวางทางการพองตัวของถุงลมฯ ทำให้ถุงลมฯ ไม่ได้ทำงานตามที่ออกแบบมา

ส่วน รถที่มีถุงลมฯ ฝั่งข้างคนขับก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่วางของขวางทางถุงลมฯ และอ่านคำเตือนเรื่องถุงลมฯ ในคู่มือประจำรถอย่างละเอียดก่อนใช้งานด้วย ถุงลมนิรภัยจะช่วยลดความบาดเจ็บได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้งานอย่างถูกวิธี จำง่ายๆ ว่า อย่านั่งชิดเกินไป และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการขับรถ ไม่งั้นอาจกลายเป็นถุงลมมหาภัยได้

ตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง

จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่า คนไทยมีการจับพวงมาลัยผิดตำแหน่งกันมากกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้สำรวจอย่างจริงจัง แค่ลองนั่งริมถนนคอยดูคนขับรถผ่านไปเท่านั้น3 สาเหตุที่ทำให้หลายคนปฏิบัติกันผิดๆ ก็คือ

1. เน้นความสบายของตนเองเป็นหลัก
2. จับพวงมาลัยตามใจชอบ ก็ไม่เห็นจะเกิดอุบัติเหตุเลย
3. ไม่มีใครบอกใครสอน ทั้งตอนหัดขับรถ หรือคนอื่นนั่งไปด้วย

ตำแหน่ง ที่ถูกต้องของการจับพวงมาลัย เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าปัดนาฬิกา เพราะเป็นวงกลมเหมือนกันน่าจะเข้าใจกันได้ง่าย มือซ้ายอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวาอยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา

ส่วนตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา อนุโลมได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะความแม่นยำในการบังคับควบคุมจะด้อยกว่าตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาซึ่งอยู่ครึ่งหรือช่วงกลางของวงพวงมาลัยพอดี

การกำพวงมาลัยสำหรับการขับรถบนเส้นทางเรียบ ไม่ใช่วิบาก ควรใช้นิ้วโป้งเกี่ยวช่วยด้วยเสมอ กำแน่นพอประมาณ แต่ไม่หลวมเกินไป ควรจับพวงมาลัย 2 มือ ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาอยู่เสมอ (แต่ไม่ถึงกับเกาหรือปรับวิทยุไมได้) อย่าชะล่าใจเมื่อเห็นเส้นทางโล่งๆ หรือเดินทางไกล เพราะถนนเมืองไทยมีหลุมโดยไม่ได้คาดหมาย หรือมีอะไรให้หักหลบฉุกเฉินได้เสมอ และหลังเปลี่ยนเกียร์แล้ว อย่าวางมือคาไว้บนหัวเกียร์ ให้ยกมือขึ้นมาจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามปกติ

อ่าน แล้วนอกจากจะนำไปปฏิบัติ (เหมือนว่าบางคนจะแก้ไขยาก เพราะเคยชิน แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยาก) ก็ควรเผยแพร่ออกไปเท่าที่ทำได้ เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามตำแหน่งที่บอก เกือบตลอดการขับ ถ้าขับทางไกลแล้วรู้สึกเมื่อย ก็แค่บีบข้อศอกเข้ามาแตะลำตัวเท่านั้นเอง ไม่ควรคิดว่าจับพวงมาลัยตำแหน่งแบบไหนๆ ก็ไม่เคยขับรถชน เพราะถ้าพลาดเพียงครั้งเดียว อาจไม่มีโอกาสนึกถึงการแนะนำนี้เลยก็เป็นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9480000008691
MKT Team
มองหลังด้วย..ช่วยคุณได้
ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ทุกท่านคงเคยเกิดลักษณะของการเบรกกะทันหันไม่มากก็น้อย จะบ่อยหรือไม่บ่อยก็ตาม ซึ่งการเบรกแบบกะทันหันนั้นทำให้มีอาการใจหาย ตกใจรวมถึงอาการหวาดเสียวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และสายตาของผู้ขับขี่ขณะนั้นส่วนใหญ่ก็จะมองไปในทิศทางทางด้านหน้ารถเสมอ หมายความว่าเมื่อทำการเบรกก็จะมองแต่รถคันหน้าเพราะกลัวว่าจะไปชนท้ายรถเขาอะไรทำนองนี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ทางด้านหน้าโดยมิได้คำนึงถึงท้ายรถของตนเองเท่าใดนัก
ในการเบรกอย่างกะทันหัน โดยที่รถของเราหยุดได้อย่างปลอดภัยแต่เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังจะทำการหยุดรถได้หรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะของการถูกชนท้ายมีให้เห็นในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเกิดเพียง 2 คัน 3 คัน หรือมากกว่านั้น ดังนั้นหากเราทำการเบรกขอให้มองทางด้านท้ายรถโดยผ่านทางกระจกมองหลังว่ามีรถยนต์ตามมาอย่างกระชั้นชิดหรือไม่รวมถึงระยะห่างเป็นอย่างไรด้วย เพราะส่วนใหญ่จะพะวงไปในทิศทางด้านหน้าเท่านั้นและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่ารถยนต์ของท่านจะขับเร็วหรือช้าก็ตาม ลองนึกภาพหากเราเป็นรถยนต์ที่อยู่ทางด้านหน้าแล้วเราเบรกอย่างกะทันหันแล้วรถยนต์คันหลังมีการเบรกแบบล้อตาย ดังเอี๊ยดๆ ที่จะชนท้ายรถของเราในจังหวะนี้ให้เราผ่อนเบรกเล็กน้อย ( ดูความเป็นไปได้จากทางด้านหน้ารถ ) ลักษณะนี้จะทำให้เกิดช่องว่างที่มากขึ้นจากรถคันหลัง ก็เท่ากับว่า โอกาสที่รถคันหลังจะชนแบบรุนแรงหรืออาจจะไม่ถูกชนเลยก็อาจเป็นไปได้นั่นเอง
จริงอยู่ว่าเราเบรกอย่างกะทันหันโดยไม่ชนรถคันหน้า ( เบรกอยู่ ) แต่เพื่อความไม่ประมาทให้ทำการมองหลังบ้าง เพราะเราเบรกอยู่แต่เขาเบรกไม่อยู่ เป็นการป้องกันที่รถของเราจะถูกชนท้ายครับ หลีกเลี่ยงการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นนั่นเองครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิดของผู้ที่ชนท้ายก็ตาม เมื่อเป็นดังนี้ การเบรกในแต่ละครั้งควรฝึกการมองหลังกันไว้บ้างนะครับ ( คิดว่าทุกคนทำได้ครับ ) แล้วความปลอดภัยก็มีมากขึ้น ท้ายนี้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขทุกท่านครับ...
MKT Team
ระบบปรับอากาศของรถยนต์ในเมืองไทยเป็นสิ่งจำเป็น จะต้องติดตั้งอยู่ในรถยนต์ทุกคัน หากช่วงไหนระบบปรับอากาศ (แอร์) ของรถยนต์ไม่มีการทำงาน ก็เท่ากับว่า รถยนต์เป็นตู้อบเคลื่อนที่ทันที เข้าของรถจะต้องรีบซ่อมอย่างเร่งด่วน อะไรทำนองนี้ หากลองคิดมุมกลับ หากระบบปรับอากาศไม่ทำงาน คุณจะขับรถได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ดังนั้น ขอให้อย่าวิตกกังวลจนเกินไป ให้ขับรถถึงจุดหมายหรือทำภารกิจให้เรียบร้อยก่อน พอมีเวลาว่างจึงนำรถเข้าซ่อมต่อไป
เรียนท่านผู้อ่าน อากาศในช่วงเช้าๆนั้นจะมีความรู้สึกว่าสดชื่น ให้ลองปิดระบบปรับอากาศแล้วหันมาเปิดกระจกหน้าต่างแทน (ถ้าสามารถทำได้) หากมีการจราจรที่แออัด รวมถึงฝนตกและสภาพแวดล้อมขณะนั้นไม่ดีเท่ากับว่ากระทำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเดินทางออกต่างจังหวัด ยิ่งเป็นช่วงเช้าอีกด้วยนั้น อากาศระบายมากๆการที่ขับขี่ปิดระบบปรับอากาศนั้น ท่านจะพบกับสิ่งที่ดีอย่างคาดไม่ถึง ได้แก่ประหยัดเงินในกระเป๋าได้จำนวนหนึ่ง หมายความว่า รถยนต์จะลดอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ เพราะระบบปรับอากาศเวลามีการทำงาน จะมีการฉุดรอบเครื่องยนต์ลงระดับหนึ่ง ประมาณ 100-200 รอบต่อนาทีเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับว่า กำลังงานขาดหายไปส่วนหนึ่ง ดังนั้น อัตราการสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิงย่อมมีเพิ่มมากขึ้นนั้นเอง
ผู้ขับขี่จะได้รับความรู้สึกว่า รถยนต์วิ่งดีขึ้น อัตราเร่งดีขึ้นอย่างชัดเจน นั่นก็เป็นเพราะว่าเครื่องยนต์ไม่มีภาระใดมากระทำ หรือมาดึงกำลังงานจากตัวเครื่องยนต์ไปบางส่วน จึงทำให้เร่งได้อย่างทันใจ ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่มีการแข่งขันกันนั้น จะไม่มีการเปิดระบบปรับอากาศใดๆเลย เพราะฉะนั้นแรงม้าและแรงบิดที่ได้ จะมีแบบเต็มๆ
ช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบปรับอากาศ หมายความว่า ระบบปรับอากาศในเมื่อได้ถูกใช้งานน้อยลง อายุการใช้งานก็นานขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คอมเพรชเซอร์, ตู้แอร์, ท่อแอร์ และอื่นๆ ทุกชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องย่อมมีการใช้งานที่นานขึ้น การซ่อมบำรุงก็ช้าลง ก็เท่ากับว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ช่วยลดภาวะโลกร้อน เพราะชิ้นส่วนของระบบปรับอากาศหากมีการซ่อมเปลี่ยนเท่ากับว่าเป็นปัญหาขยะ สิ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำลาย, การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือ แม้กระทั่งการจัดเก็บ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่มนุษย์กระทำขึ้น ดังนั้น ควรใส่ใจในเรื่องของโลกร้อนบ้างก็ดี ทั้ง 4 ข้อ ที่ได้กล่าวมานั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการที่ขับขี่แล้วมีการปิดระบบปรับอากาศ ประโยชน์ที่ได้ก็จะส่งผลมายังมนุษย์อีกนั่นแหล่ะ อีกอย่างหนึ่ง ปัจจุบัน ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือเชื้อเพลิงประเภทอื่น สูงขึ้นกว่า เมื่อก่อนหลายเท่าตัว และนับวันก็จะมีแต่จะสูงขึ้น สูงขึ้น อย่างไม่รู้จบ จำนวนเชื้อเพลิงที่ถูกใช้ไปในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี มีมูลค่ามหาศาล และไม่มีใครรู้ว่า เชื้อเพลิงจะหมดลงเมื่อไหร่ ดังนั้น การที่ปิดระบบปรับอากาศ แล้วจะพบคำตอบใน 4 ข้อ ตามที่กล่าวมาอย่างแน่นอน ด้วยตัวของท่านเองปัจจุบัน ผู้ขับขี่รถยนต์ หันมาใส่ใจในเรื่องของราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น และก็มีอยู่ไม่น้อยที่ปิดระบบปรับอากาศขณะเดินทางในตอนเช้า เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ ในต่างจังหวัดอาจจะพบบ่อย สังเกตได้จาก จะมีการเปิดกระจกหน้าต่าง ไม่ใช่ว่ารถยนต์ของเขา แอร์ไม่เย็น, สูบบุหรี่ หรือเปิดเครื่องเสียงโชว์ แต่อาจจะเป็นเพราะเขาคำนึงถึง 4 ข้อ ตามที่ได้กล่าวมาก็เป็นได้ และก็ไม่มีใครรู้ว่า เขาเหล่านั้นกระทำอย่างนั้นทำไม (ลองสอบถามดูแล้วกัน) แต่สำหรับผู้เขียนถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ จะปิดระบบปรับอากาศทันที แล้วหันไปเปิดหน้าต่างแทนครับ

“เรื่องอย่างนี้ไม่ยาก เพราะ ทุกท่านย่อมทำได้”ไม่มีแอร์ แต่ขับได้
MKT Team
เริ่มต้นจากหาทางวิ่งโล่ง ๆ ..ระยะซักประมาณ 100 - 200 เมตร ....พื้นผิวถนนหากเป็นไปได้ควรจะเป็นพื้น ซีเมนต์.. หรือ.. ยางมะตอย หลังจากนั้นขับรถด้วยความเร็วประมาณ 60 - 70 กม./ชม....แล้วเหยียบเบรกอย่างรุ่นแรงขณะ เหยียบแป้นเบรก จะรู้สึกได้ว่า แป้นเบรกดันออกมาเป็นระยะๆ... แรงต้านที่แป้นเบรกเกิดจากการทำงานของ.. ABS.. ครับแต่อย่าเพิ่งแน่ใจนะครับว่าแรงต้านที่แป้นเบรกนั้นเกิดจากการทำงานของ.ABS. เสมอไป เพราะลักษณะแรงต้านที่เกิดขึ้นนี้ จะมีลักษณะใกล้เคียงกัน อาการจานเบรกกด หรือ ผิวจานเบรกเป็นคลื่น เมื่อเหยียบเบรกจนกระทั่งรถหยุดสนิทแล้ว...
ต่อจากนั้นลงจากรถเพื่อไปดูร่องรอยการเบรกบนพื้นผิวถนน
จะเห็นได้ว่าเกิดรอยยางเป็นแนวยาว เว้นเป็นระยะๆ นั้น.ก็แสดง ว่า.. ระบบ ABS.. ยังคงทำงานเป็นปกติอยู่ครับ..
หรือ.. ถ้าเห็นรอยยางเป็นแนวยาวต่อเนื่องกันแสดงว่าระบบ.. ABS ไม่ทำงานครับ อย่างไรก็ตาม..
หากระบบ.. ABS.. เกิดปัญหา.. โดยปกติทั่วไปรถยนต์จะมีไฟ ABS ..โชว์เพื่อแจ้งเตือนให้ เราทราบ. เราสามารถนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจเช็คได้โดยทันที .และสำหรับการทดสอบดังกล่าวข้างต้นก็ควรระมัดระวัง ในเรื่องของความปลอดภัยให้มาก เช่น พื้นผิวถนนไม่ควรจะเป็นพื้นลูกรัง...เพราะนอกจากจะไม่ค่อยเห็นร่องรอยจากการเบรกแล้ว ที่สำคัญก็คือ มีโอกาสเกิดการแฉลบได้ง่ายด้วยเช่นกัน ครับ
MKT Team
เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด
แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด
ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า
ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่”
เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
“การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง
เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว
ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่
จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
**วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่
เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด
หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน
นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน
ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา
ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด
โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที
แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด
จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

**วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ
ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ
ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ
ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน

**ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**
- ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
- เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
- ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
- ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
- ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน
MKT Team
การดูแลรักษารถเบื้องต้น
ในระบบสตาร์ทรถยนต์โดยทั่วไป ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่กุญแจสตาร์ทจะต้องบิดกุญแจ 3 จังหวะ คือ AC , ON และ START ผู้ขับขี่บางท่านอาจจะปิดกุญแจรวดเดียว 3 จังหวะไปที่ START ถ้ารถท่านเป็นรถใหม่ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารถท่านผ่านการใช้งานมานาน ๆ อาจต้องสตาร์ทหลายครั้งก่อนที่เครื่องยนต์จะติด ซึ่งระหว่างที่ท่านสตาร์ทรถหลาย ๆ ครั้งนั้น ท่านกำลังทำลายระบบสตาร์ทให้อายุการใช้งานสั้นลง วันนี้เรามีคำแนะนำการสตาร์ทรถที่ถูกวิธี ท่านจะไม่ต้องมานั่งสตาร์ท แชะ แชะ แชะ ให้เสียฟอร์ม และยังเป็นการยืดอายุระบบสตาร์ทให้ใช้งานได้ ดีอีกนานแสนนาน ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1. ปิดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟทั้งหมดในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศไฟหน้า และเครื่องเสียงต่าง ๆ เพื่อให้แบตเตอร์รี่จ่ายไฟเต็มที่
2. เหยีบครัชให้สุด (สำหรับเกียร์ AUTO ให้เข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง N หรือ P เพื่อผ่อนแรงมอร์เตอร์สตาร์ท
3. บิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง ON ค้างไว้ ตราวจเช็คไฟเตือนต่าง (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) รอจนไฟเตือนหัวเผารูปขดสปริงเปลี่ยนจาก สีแดงเป็นสีเขียว หากเครื่องยนต์เย็นควรกดแป้นคันเร่ง 1 ครั้ง
4. บิดกุญแจสตาร์ทเท่านี้คุณก็ไม่ต้องนั่งเสียฟอร์มสตาร์ทรถ แชะ แชะ แชะแล้ว
ขอให้ทำจนเป็นนิสัยไม่ว่ารถเก่าหรือรถใหม่ หากทำตามวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลให้ ท่านนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหรือร้านซ่อมระบบไฟไดชาร์ท ไดสตาร์ทโดยทั่วไป
MKT Team
การเตรียมความพร้อมก่อนการไปสอบใบขับขี่

1 การทดสอบตาบอดสี
โดยเจ้าหน้าที่จะชี้ไปที่จุดสีในวงกลมโดยจะมีแค่ 3 สี คือ สีแดง สีเหลืองและสีเขียว เท่านั้น

2 การทดสอบปฏิกริยา
ความไวของเท้าในการเบรคหรือการตอบสนองของเท้า โดยเจ้าหน้าที่จะชี้ไปที่จุดสีในวงกลมโดยจะมีแค่ 3 สี คือ สีแดง สีเหลืองและสีเขียว เท่านั้น

3 การทดสายตาทางกว้าง
โดยเจ้าหน้าที่จะให้ผู้ทดสอบจมูกแนบกับเครื่องทดสอบตามองตรงไปข้างหน้าและใช้หางตาทั้งสองข้างดูไฟด้านข้างทั้งสองข้างให้ถูกต้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยกดไฟให้ผู้ทดสอบตอบว่าซ้ายสีอะไรและขวาสีอะไร มีสีแดง สีเขียวและสีเหลืองเท่านั้น

4 การทดสอบสายตาทางลึก
โดยเจ้าหน้าที่จะให้ผู้ทดสอบนั่งห่างจากตัวเครื่องทดสอบระยะ 2.50 – 3.50 เมตร ภายในตัวเครื่องผู้ทดสอบจะมองเห็นหลักอยู่ 2 หลัก อยู่ขนานกันแล้วเจ้าหน้าที่จะเลื่อนหลักไปด้านหลัง 1 หลัก แล้วให้ผู้ทดสอบใช้กล่องควบคุม กล่องควบคุมก็จะมีปุ่ม 2 ปุ่ม สีเขียวจะเลื่อนออกจากตัวและสีแดงจะเข้ามาหาตัวผู้ทดสอบ ผู้ทดสอบจะต้องเลื่อนหลัก 2 หลักให้มาขนานกันและไม่ห่างเกิน 1 นิ้ว ถือว่าผ่านการทดสอบ
5 การทดสอบข้อเขียน
ด้วยระบบ อี – เอ็กแซม เป็นการทดสอบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งสะดวกและรวดเร็วทราบผลได้ทันทีหลังการทดสอบ ระบบจะสุ่มแบบทดสอบให้ทำเพียง 30 ข้อ ๆ ละ 1 คะแนน ทำคะแนนได้มากกว่า 23 คะแนนถือว่าผ่าน เกณฑ์
สอบใบขับขี่ ท่าปฏิบัติ
สอบใบขับขี่ ท่าปฏิบัติ มี 3 ท่า
• จอดเข้าซองโดยการเอาหน้าเข้า (เดินหน้า ถอยหลัง)
• ถอยหลังเข้าซองครับ โดยการถอยจากจุดสอบที่หนึ่งที่เราเข้าโดยการเอาหน้าเข้า
• จอดชิดขอบทาง
1. การเข้าซอง(เอาหน้าเข้า)
สำหรับด่านนี้ ส่วนใหญ่ผ่านครับเพราะถือเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จุดที่ต้องระวังคือ เมื่อเราอยู่ในรถ ต้องคาดเข็มขัด ห้ามรับโทรศัพท์ และรถห้ามดับครับ ไม่อย่างนั้น ตกทันทีครับ (ขณะขับต้องเปิดกระจกทั้งสองด้านด้วย และควรเปิดไฟเลี้ยวเมื่อต้องการจะเลี้ยวด้วย ) สำหรับช่องที่ให้เข้าไปจอดนั้น มีขนาดใหญ่กว่าช่องจอดปกติเล็กน้อย
2. ถอยหลังเข้าซอง
สำหรับข้อนี้จะมีกฎเพิ่มมาคือ ให้ใช้เกียร์ได้เพียง 7 เกียร์ (สำหรับถอยเข้า และ ถอยออกเพื่อไปสอบด่านต่อไปด้วย) ถ้าใช้เกินตก
3. จอดเทียบฟุตบาท
ด่านนี้ ให้จอดเทียบฟุตบาทโดยมีระยะห่างห้ามเกิน 25 ซมครับ(ตามกฎหมาย และมีถามในตอนสอบทฤษฎีด้วย) และจอดหลังป้ายเครื่องหมายหยุด ในระยะทางที่พอเหมาะ ซึ่งในขณะสอบด่านนี้ จุดที่ยากคือห้ามใช้เกียร์ถอยหลังครับ ถ้าใช้ตกทันที จอดระยะห่างเกินที่กำหนดก็ตกทันที สำหรับด่านนี้มีเทคนิคคือเราควรจัดรถให้มีระยะที่พอดีก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่สอบ เพราะถ้าเข้าพื้นที่สอบแล้วเราจะไม่สามารถใช้เกียร์ถอยหลังได้
สิ่งที่เราต้องเน้นเลยคือ ใจเย็นๆครับ คนไปสอบก็มือใหม่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรน ถ้าเป็นไปได้ คันเร่งไม่ต้องไปเหยียบเลยก็ได้ครับ ค่อยปล่อยๆรถไหลไป ถ้าผิดอะไร จะได้แก้ทันครับ คนสอบตกส่วนใหญ่จะประหม่า เลยทำให้ตัดสินใจผิดพลาด และที่สำคัญอย่าตกม้าตายเรื่องที่ควรระวังครับ เช่น คาดเข็มขัด โทรศัพท์มาห้ามรับ(ปิดไปเลยยิ่งดี) และอย่าลืมเปิดไฟเลี้ยวหากจะเลี้ยว สำหรับคนที่ยังไม่ผ่าน ก็สามารถมาสอบแก้วันหลังได้ ซึ่งสามารถแก้เฉพาะท่าที่ไม่ผ่านได้ แต่ ถ้าตกท่า2 ต้องสอบท่าที่1ด้วย เพราะเป็นท่าต่อเนื่องครับ สุดท้ายนี้ขอฝากถึงคนที่ไปสอบแล้วแต่ยังไม่ผ่านนะครับ ว่าไม่ต้องเสียใจไป ไปสอบครั้งใหม่ใจเย็นๆครับอย่าไปเครียดกับมัน คิดว่าไปขับเล่นสนุกๆดีกว่า ส่วนเรื่องซื้อใบขับขี่อย่าไปซื้อเลยครับตัดปัญหาการถูกหลอก ได้ยินมาว่ามีพวกกลุ่มหลอกหลวงที่มาบอกว่าจ่ายเงินให้เขา แล้วเขาจะสามารถไปเอาใบขับขี่มาให้เราได้โดยไม่ต้องสอบ แต่พอเราจ่ายไปก็หายต๋อม การสอบมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมเรายังได้อะไรมากกว่าที่คิดครับ
ที่มา siamdriving.com
MKT Team
บุคคลที่เกิดวันอาทิตย์
สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเขียวเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีเทา สีควันบุหรี่เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีฟ้า สีน้ำเงิน (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอาทิตย์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันวันอาทิตย์
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และอายุ 77 ปีห้ามซื้อรถสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 ,และ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีเขียวทุกชนิด
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีเทา สีควันบุหรี่ เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันจันทร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเขียว หรือสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีม่วงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีแดง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันจันทร์
* ช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีม่วง
* และช่วงอายุย่าง 26 , 35 , 44 , 53 , 62 , 71 และ 80 ขึ้นไป สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด ยกเว้นสีแดงสีเดียว

บุคคลที่เกิดวันอังคาร

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีดำ หรือสีม่วง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทองเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแดงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีบรอนซ์เงิน สีขาว สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันอังคาร
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีดำและสีม่วง เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีเทาเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์ทอง สีเหลืองอ่อนเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีชมพู สีโอโรส (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเหลืองแก่ สีแสด และสีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีเทา
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีม่วงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์เงิน สีแสด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 และอายุ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงินและสีเหลืองอ่อน
* และช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 ,49 ,58 และ 67ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีแดงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีเขียวเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีดำ สีม่วง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69และอายุย่าง 78 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีแดง
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันศุกร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีชมพู และสีโอโรสเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแสด สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเทา สีดำ สีควันบุหรี่ (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันศุกร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันศุกร์
* อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68 และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีชมพู สีโอโรส
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง และสีแสด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

บุคคลที่เกิดวันเสาร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเทา สีดำ เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีชมพู สีโอโรสเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
* สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเขียวทุกชนิด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันเสาร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันเสาร์
* อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเทา สีดำ เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
* สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 , 68และอายุย่าง 77 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีฟ้า สีน้ำเงิน
* และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
* ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด