MKT Team
เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา
1. ทุกครั้งก่อนออกจากรถ ผู้ขับรถควรจะปลดเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างเสมอพร้อมทั้งดึงเบรกมือค้างไว้ เพื่อป้องกันการหลงลืมเมื่อมีการไขกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งใหม่ เพราะเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเกียร์ไม่ได้อยู่ ในตำแหน่งเกียร์ว่าง รถจะพุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลังอย่างฉับพลัน อันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สำหรับการ ปลดเกียร์ว่าง นอกจากจะปฏิบัติก่อนออกจากรถทุกครั้งแล้ว อาจปฏิบัติในขณะรถติดนาน ๆ ได้ด้วย โดยดึงเบรกมือ แทนการเหยียบเบรก และคลัทซ์ค้างไว้ ช่วยพักเท้าคลายอาการเมื่อยล้าได้ด้วย

2. ควรเหยียบคลัทซ์ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ มาสู่ระบบ ขับเคลื่อน เพราะหากลืมปลดเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง การเหยียบคลัทซ์จะทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน3. มือใหม่หัดขับ มักพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ต้องขึ้นสะพาน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดค้าง อยู่บนสะพาน ผู้ขับมือใหม่มักกังวลว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้รถไหลไปชนคันหลัง วิธีง่าย ๆ ก็คือ ปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือ และเมื่อจะเคลื่อนตัวให้ผู้ขับเหยียบคลัชท์และเข้าเกียร์ 1 พร้อมที่จะออก แล้วเหยียบคันเร่งช้า ๆ พร้อมกับปลดเบรกมือ รถอาจจะไหลบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่ลาดเอียง มือใหม่หัดขับไม่ต้องตกใจ ออกตัวรถไปตามปกติ

4. เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป (2,000 – 3,000 รอบ/นาที) จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันอีกด้วย

5. การชะลอรถ/หยุดรถ เมื่อขับมาด้วยความเร็ว ให้ค่อย ๆ แตะเบรก อย่าพึ่งเหยียบคลัทซ์ เพื่อให้กำลัง ของเครื่องยนต์เป็นตัวช่วยชะลอรถ (ENGINE BRAKE) จากนั้น เมื่อรถใกล้จะหยุด ให้เหยียบคลัทซ์ และเมื่อรถ หยุดสนิทให้ปลดเกียร์ว่าง พร้อมทั้งดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล

6. หมั่นฝึกเปลี่ยนเกียร์ให้เกิดความชำนาญ โดยใช้ประสาทสัมผัสแทนการเหลือบมอง เพื่อป้องกัน การเกิดอุบัติเหตุ

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะละเลย นั่นคือ ไม่ควรวางเท้าไว้ที่แป้นคลัทซ์ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เหยียบคลัทซ์ก็ตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานของลูกปืนคลัทซ์ นอกจากนี้ ยังไม่ควรเลี้ยงคลัทซ์เมื่อรถติดอยู่บนเนินหรือสะพาน เพราะจะทำ ให้คลัทซ์ลื่น คลัทซ์ไหม้ และอายุการใช้งานของผ้าคลัทซ์ก็จะสั้นลงด้วย
MKT Team
วิธีการเลือกซื้อรถ
จะซื้อรถใหม่สักคัน ต้องคิดให้รอบคอบรถยนต์ไม่ใช่คันละบาทสองบาท ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วต้องมาปวดหัวกันทีหลังนั้น ไม่ดี เรามีแนวทางการพิจารณาเลือกซื้อรถใหม่แบบกว้างๆ ให้ท่านพอสังเขป ดังนี้
1. งบประมาณที่มีอยู่ : จะซื้อรถหรือซื้ออะไรก็ตาม ก็ควรจะเหมาะสมกับกำลังที่มี มิใช่ซื้อมาแล้วต้องมามีชีวิตยากลำบาก หรือ ซื้อมาได้ไม่นานก็ถูกยึดไป ในส่วนของงบประมาณมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้
– เงินสดที่ต้องใช้ : เงินสดสำหรับรถทั้งคันหรือ เงินดาว์น รวมทั้งค่าประกันภัย, ค่าทะเบียนและ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ
– เงินที่จะต้องผ่อนแต่ละเดือน : สำหรับท่านที่ซื้อรถเงินผ่อนซึ่งนอกจากเงินผ่อนแล้ว อย่าลืมค่าน้ำมันเชื้อเพลิง, ค่าบำรุงรักษาต่างๆ, ค่าประกันภัย และค่าทะเบียนปีต่อๆไปด้วย

2. วัตถุประสงค์ใช้งาน : จะต้องถามตัวเองก่อนว่า เราซื้อรถมาใช้ประโยชน์อะไร มีการใช้งานปกติอย่างไร มีข้อจำกัดในการใช้งานอย่างไรบ้าง ฯลฯ เมื่อทราบแล้วจึงดูว่า ในตลาดรถยี่ห้อใดรุ่นใดบ้าง ที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดยทั่วๆ ไปจะมี คำถามที่เกี่ยวกับการใช้งานดังนี้
2.1 ใช้รถในกรุงเทพฯ หรือ ออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก หรือ ทั้งสองอย่าง
– รถสำหรับใช้ในกรุงเทพฯ มักเรียกกันว่า City Car เป็นรถที่มีขนาดกระทัดรัด มีความคล่องตัวสูง มีอัตราเร่งดีตอนออกตัว ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากเป็นพิเศษ
– รถใช้เดินทางต่างจังหวัด ควรเป็นรถขนาดกลางหรือใหญ่มีการทรงตัวดี เครื่องยนต์มีกำลังเร่งทั้งที่รอบต่ำและรอบสูง เป็นรถที่แข็งแรงทนทาน
2.2 จำนวนผู้โดยสารประจำ
2.3 ความจำเป็นต้องใช้บรรทุกของมากน้อย และบ่อยแค่ไหน
2.4 ความจำเป็นต้องใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยปกติแล้วรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะราคาสูงกว่า, สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง มากกว่า, มีค่าบำรุงรักษาสูงกว่า และ ซ่อมแพงกว่าซึ่งถ้าซื้อมาแล้วได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าก็ถือเป็นเรื่องดี และ ถ้าซื้อมาแล้ว ไม่ได้ใช้ขับเคลื่อน 4 ล้อเลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
2.5 ใช้ลุยน้ำท่วมหรือไม่ ถ้าต้องลุยน้ำท่วมก็ควรเป็นรถที่ยกสูงซึ่งมีทั้งขับเคลื่อน 4 ล้อและ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
2.6 อุปนิสัยการขับรถ ช้าหรือเร็ว ถ้าเป็นคนที่ขับรถช้า ขับไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากนัก แต่ถ้าเป็นคนที่ ชอบขับเร็วแล้วสมรรถนะเครื่องยนต์, ระบบช่วงล่าง, เกียร์, ระบบเบรก, ขนาดล้อและยาง, อุปกรณ์ความปลอดภัย ฯลฯ คงต้องนำมาพิจารณากันซึ่งถ้าจะให้มีครบ ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ครับ
2.7 ความสะดวกสบายและหรูหรา ข้อนี้คงพิจารณาได้ง่ายเพราะขึ้นกับเงินในกระเป๋าเป็นหลัก
2.8 ข้อจำกัดในการใช้งานอื่นๆ
– ขนาดของประตูบ้าน, ที่จอดรถ และซอยเข้าบ้าน
– ส่วนสูงของผู้ขับ
– ความปลอดภัยของที่ที่จอดรถเป็นประจำ
– ฯลฯ
3. การประหยัด
3.1 อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง : รถที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มักเป็นรถขนาดเล็ก , เครื่องยนต์ขนาดเล็ก , เครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่, ตัวถังออกแบบให้ลู่ลมมากกว่า, เครื่องยนต์ดีเซล มักจะมีอัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องเบนซิน ฯลฯ
3.2 ค่าบำรุงรักษา : หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ เมื่อใช้งานถึงระยะทาง หรือ ระยะเวลาที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ อาทิเช่น น้ำมันหล่อลื่นชนิดต่างๆ, ไส้กรองชนิดต่างๆ, หัวเทียน, สายพานต่างๆ, ยาง ฯลฯ รวมทั้งค่าแรง
3.3 ค่าซ่อม : หมายถึง ค่าแรงและค่าอะไหล่ของชิ้นส่วนที่หมดอายุการใช้งานหรือชำรุดโดยทั่วไปมักมีการแยกอะไหล เป็นกลุ่มดังนี้
– อะไหล่ลิ้นเปลือง หรือ อะไหล่ที่ต้องมีการเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ผ้าเบรก, ยางปัดน้ำฝนอะไหล่ ที่เปลี่ยนเมื่อใช้งานครบระยะทาง หรือระยะเวลา ฯลฯ
– อะไหล่ทั่วไป ซึ่งจะเปลี่ยนเมื่อตรวจพบว่าชำรุด
– อะไหล่ตัวถัง
3.4 ความทนทาน : ยิ่งซื้อรถไปเพื่อใช้งานหนัก หรือใช้มากเท่าใด ความทนทานก็ยิ่งมีความสำคัญมากเท่านั้น เพราะจะมี ผลอย่างมากต่อค่าใช้จ่าย และเวลาที่ต้องเสียไปกับการซ่อมบำรุงหากต้องการทราบว่ารถรุ่นไหนยี่ห้อไหน มีความทนทานมาก วิธีที่ง่ายก็คือ การสอบถาม จากผู้มีประสบการณ์หากเป็นรุ่นใหม่ในตลาดก็คงต้องดูที่ยี่ห้อว่าเป็นผู้ผลิตรถที่มี ความทนทานหรือไม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมยานยนต์ ก็อาจพอบอกได้จากการออกแบบ
3.5 การดูแลและการบำรุงรักษาด้วยตนเองหรือคนสนิท : เลือกรถที่สามารถดูแล และบำรุงรักษา ตลอดจนซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเอง หรือ โดยคนสนิทที่คิดค่าใช้จ่ายถูกๆ ก็จะช่วยให้ประหยัดได้ไม่น้อย
3.6 ราคาขายต่อมือสอง : จะมีความสำคัญขึ้นมาเมื่อท่านต้องการเปลี่ยนรถ
4. การบริการหลังการขาย
4.1 มีศูนย์บริการอยู่ทั่วไป, หาง่าย, มีการบริการที่ดีได้มาตรฐาน และ ซื่อสัตย์
4.2 ความพร้อมของอะไหล่ : อะไหล่หาง่ายไม่ต้องรอนาน มีครบทุกชิ้น ในขณะที่มีรถบางรุ่นอาจต้องรออะไหล่เป็นเดือน
4.3 เงื่อนไขการรับประกัน ระยะเวลา และความสะดวกในการทำเคลม
4.4 การดูแลเอาใจใส่ของตัวแทนจำหน่าย และพนักงานขายหลังจากซื้อรถมาแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย คงต้องมาจากประสบการณ์ของท่าน ของคนรู้จัก หรือ อ่านจากหนังสือต่างๆ หรือ ภาพพจน์ชื่อเสียงที่ผ่านมา
5. ความชอบและความพอใจของผู้ซื้อ สำหรับข้อนี้ก็แล้วแต่ผู้ซื้อครับ
MKT Team
++รถยนต์ป้ายแดงกับการเดินทางไกล++
การเดินทางไกลกับรถยนต์ใหม่ สามารถทำได้ แต่ต้องใช้เทคนิคและความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ยังไม่พ้นระยะรัน-อิน การเดินทางไกลกับการใช้รอบเครื่องยนต์ในรถยนต์ใหม่ อาจมีความเข้าใจผิดในหลายกรณี โดยเฉพาะในเรื่องความเร็ว ผู้ใช้ส่วนหนึ่งคิดว่า ในเมื่อเดินทางไกลมักใช้ความเร็วสูง แล้วจะควบคุมรอบเครื่องยนต์ได้อย่างไร เพราะถ้าขับเร็วก็น่าจะต้องใช้รอบสูงด้วย แต่ความจริงไมได้เป็นเช่นนั้น

การขับด้วยรอบเครื่องยนต์ระดับปานกลาง ก็สามารถไต่ขึ้นสู่ความเร็วตามกฎหมายกำหนดได้ รถยนต์ส่วนใหญ่ในความเร็วระดับ 90 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเกียร์สูงสุดไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติมักใช้รอบเครื่องยนต์ประ
มาณ 2,500 - 3,000 รอบ / นาที เท่านั้น ซึ่งไม่สูงเกินไป การเดินทางไกลมีข้อดี คือ สามารถขับได้อย่างนุ่มนวล และควบคุมรอบเครื่องยนต์ได้ตามต้องการ แต่ไม่ควรขับแช่ที่ความเร็วเดียวกันต่อเนื่องนานๆ ควรเปลี่ยนแปลงความเร็วบ้าง โดยอาจสลับด้วยกาสรผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย

สำหรับกรณีคับขัน เช่น ต้องเร่งแซงหลบหลีก ก็สามารถกดคันเร่งได้เลย ไม่ต้องเน้นรักษารอบเครื่องยนต์มากเกินไป จนขาดความปลอดภัยหรือถูกชน
MKT Team
++อดใจสักนิด อย่าเพิ่งลากรอบ++

ระยะทาง 0-1,000 กิโลเมตร ควรหลีกเลี่ยงการใช้รอบเครื่องยนต์เกิน 2,500 - 3,000 รอบ/นาที หรือเปลี่ยนความเร็วรอบขึ้น-ลงแบบกระทันหันโดยไม่จำเป็น การเปลี่ยนจากเกียร์ต่ำขึ้นสู่เกียร์สูง ควรทำอย่างนิ่มนวลที่ระดับ 2,500 รอบ/นาที แล้วถอนคลัตช์ช้าๆ ส่วนการเปลี่ยนจากเกียร์สูงลงสู่เกียร์ต่ำ เพราะต้องการใช้เกียร์สัมพันธ์กับความเร็ว ไม่ควรเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ เพราะต้องการใช้เกียร์และเครื่องยนต์ช่วยเบรก ถ้าต้องการเบรกให้เหยียบเบรกตามปกติ ในช่วง 0 - 5,000 กิโลเมตร ไม่ควรใช้รอบเครื่องยนต์เกิน 4,000 รอบ/นาที

เมื่อถึงระยะ 1,000 กิโลเมตร ให้ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันเฟืองทิ้งท้าย เพื่อเอาเศษสกปรกที่หลุดจากชิ้นส่วนต่างๆและปะปนอยู่ในน้ำมันออก(แม้บางศูนย์บริการจะไม่ระบุไว้ก็ตาม)
MKT Team
หมอนรองศีรษะ..สำคัญกว่าที่คิด

เทคโนโลยียานยนต์ในปัจจุบัน นอกจากความเร็ว แรง แต่ประหยัด และรักษาสภาพแวดล้อมแล้ว ความปลอดภัยก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความสนใจเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ท่ามกลางความร้อนระอุของการแข่งขัน

อุปกรณ์นิรภัยที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ ก็เพื่อผู้ขับได้รับความปลอดภัยสูงสุดจากอุบัติเหตุ เราเคยทราบถึงประโยชน์ของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยกันมาบ้างแล้ว รวมถึงเบาะนิรภัย ที่มีการติดตั้งในรถยนต์ราคาปานกลางถึงสูง แต่ยังมีอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีในรถยนต์ทุกระดับราคา แต่ยังมีการใช้งานกันไม่ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างเต็มที่ อุปกรณ์นั้นคือ "หมอนพิงศีรษะ" (Head Rest)

ลักษณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักเป็นการชนด้านหน้า แต่ยังมีรูปแบบการบาดเจ็บของกระดุกต้นคอที่เกิดจากการถูกชนด้านหลัง การถูกชนในลักษณะนี้อาจทำให้มีการฉีกขาดของเอ็นยึดกระดูกต้นคอ ทางการแพทย์เรียกว่า Whiplsh Injury ถ้ายังจำกันได้ถึงกลไกการบาดเจ็บของคอที่เคนเขียนถึง เมื่อเกิดการชนที่ด้านหน้า ถุงลมนิรภัยจะพองออกมารับศีรษะ ไม่ให้คอก้มลงมากเกินไปเนื่องจากแรงสะบัด ในขณะที่ลำตัวถูกเข็มขัดนิรภัยยึดไว้ นี่เป็นภาพที่เริ่มชินตากันจากโฆษณาต่าง แต่ในอีกมุมหนึ่งที่มีโอกาสเกิดได้ไม่น้อย คือ การถูกชนจากด้านหลัง
ถ้าถูกชนจากด้านหลังอย่างรุนแรง เท่ากับตัวรถยนต์หยุดนิ่ง แล้วมีแรงมากระทำให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรงเกิดความเร่งขนาดสูงมากกระทำกับตัวรถย
นต์ ความเร่งนี้จะถ่ายทอดมาที่เบาะ ทำให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ในขณะที่ศีรษะที่มีความเฉื่อยอยู่ จะอยู่นิ่งในช่วงแรก
ผลรวมที่เกิดขึ้นจากการที่ลำตัวพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่ศีรษะอยู่นิ่ง ทำให้เกิดการเงยคออย่างรุนแรง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 0.2 วินาทีเท่านั้น ผลที่ตามมาคือ เอ็นยึดกระดูกคอฉีกขาด เกิดอาการปวดคออย่างรุนแรง ผลสุดท้ายคือต้องเสียเงินรักษาเสียเวลาทำงาน
อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ใช้ได้ผลมาตลอด คือ คาดเข็มขัดนิรภัย ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงลำตัวไว้กับเบาะ ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้า อุปกรณ์สำคัญต่อมา คือ หมอนพิงศีรษะเพราะแม้ว่าลำตัวถูกยึดอยู่กับเบาะ แต่เบาะที่ยึดกับตัวรถยนต์ก็ยังพุ่งไปข้างหน้า ศีรษะที่ไม่มีอะไรรองรับก็ยังแกว่งไปข้างหลังอย่างแรงได้ แต่ถ้ามีหมอนพิงศีรษะมารับไว้ก็จะช่วยไม่ให้คอเงยมากเกินไปจนเกิดอันตรายขึ้น
ปัญหาที่ตามมาคือ ผู้ขับรถยนต์บางคนไม่ให้ความสำคัญกับการปรับหมองรองศีรษะ ให้เตรียมพร้อมรับกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ผู้ผลิตรถยนต์บางรายทราบถึงปัญหานี้ดี จึงออกแบบหมอนพงศีรษะแบบตายตัวไม่สามารถปรับได้ แต่อยู่ในตำแหน่งที่รองรับศีรษะเมื่อเกิดเหตุได้เป้นอย่างดี แต่ผู้ใช้รถยนต์บางคนอาจจะบ่นว่าหมอนที่ปรับไมได้ทำให้พิงแล้วไม่สบายคอ
ผู้เชี่ยวชาญทางอุบัติเหตุท่านหนึ่ง ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้อย่าวงน่าสนใจว่ายังมีความเข้าใจผิดกันมากเกี่ยวกับ Head Sest นี้ แม้จริงแล้วหมอนพิงศีรษะมีชื่อจริงว่า Head Restraint ถ้าเมื่อดถูกใช้เป็นหมอนพิงศีรษะก็จะผิดจุดประสงค์ทันที เพราะถูกออกแบบมาให้เป็นตัว Restraint หมายถึง ให้การปกป้องต่อศีรษะและคอ ถ้าถูกปรับลงมาเพื่อให้หนุนคอสบายจะกลายเป็นจุดหมุนของต้นคอทันที นั่นคือศีรษะจะสะบัดไปด้านหลัง โดยมีหมอนพิงศีรษะค้ำที่ต้นคอ ให้ศีรษะสะบัดไปข้างหน้า-หลังได้ดีและแรงยิ่งขึ้น
จากการทดสอบพบว่า ความสูงของหมอนพิงศีรษะอย่างน้อยที่สุดต้องไม่ต่ำกว่าระดับเหนือใบหู และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า หมอนรองศีรษะในรถยนต์หลายรุ่นจะออกแบบมาให้เอนมาด้านหน้า การตรวจสอบตำแหน่งง่ายๆคือถ้าพิงพนักเต็มที่แล้ว ศีรษะด้านหลังส่วนที่เป็นกระโหลกแข็งๆ สัมผัสกับหมอนพิงศีรษะพอดี แสดงว่าปรับได้ตำแหน่งที่ถูกต้อง ถ้าพิงไปแล้วหมอนมารับท้ายทอยอย่างสบายเท่ากับว่าหมอนต่ำเกินไป
อุปกรณ์ใช้ร่วมกันเสมอ คือ เข็มขัดนิรภัย ถ้าปรับหมอนดีแต่ตัวพุ่งไปข้างหน้าก็ไม่มีปาระโยชน์อะไร นอกจากนี้"ซาบ" ก็ยังมีการพัฒนาหมอนพิงศีรษะที่เรียกว่า Protech นี้จะพุ่งมาข้างหน้าทันทีที่พนักพิงกระแทกกับแผ่นหลังช่วยยันศีรษะไม่ให้หงายไปด้านห
ลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่ออุปกรณ์นิรภัยต่างๆ ถูกแนะนำขึ้นจากจำนวนผู้เสียชีวิตก็ลดลงจำนวนผู้บาดเจ็บก็มากขึ้น และการเรียนรู้รูปแบบของการบาดเจ็บแบบต่างๆก็ทำให้มีการสร้างอุปกรณ์นิรภัยใหม่ๆตามอ
อกมา เป้าหมายของผู้ผลิตเหล่านี้คือ ทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยสูงสุด แบบนี้แล้วเวลาขึ้นรถอย่าลืมปรับตำแหน่งของหมอนพิงศีรษะให้ถูกต้อง เพราะจุดเล็กๆที่หลายคนมองข้ามนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตเลยก็ได้
MKT Team
ศูนย์บริการ vs อู่ซ่อม : จะเลือกที่ไหนดี?

รถยนต์ใหม่....ต้องเข้าศูนย์บริการ
รถยนต์ป้ายแดงทุกรุ่นต้องมีการรับประกันคุณภาพในขอบเขตที่เหมาะสมเช่นความบกพร่องของ
อุปกรณ์ ความเสียหายอย่างผิดปกติจากการผลิตหรือประกอบโดยมีการยกเว้นการใช้งานผิดประเภทหรือ
อุปกรณ์ที่ต้องเสื่อมสภาพ ผู้ประกอบการแต่ละรายกำหนดระยะเวลารับประกันคุณภาพแตกต่างกันออกไป
หรือแม้แต่รถยนต์ยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรุ่นหรือรุ่นเดียวกันแต่ในช่วงเวลามีข้อเสนอส่งเสริมการจำหน่าย
อาจมีเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพที่แตกต่าง เช่น บางรายรับประกันคุณภาพถึง 3 ปีหรือ 100,000กิโลเมตร
และเตรียมงบไว้ครอบคลุมถึงชิ้นส่วนที่สึกหรอ เช่น ยาง ผ้าเบรก ฯลฯ

หากยังอยู่ในระยะรับประกันควรนำรถยนต์เข้ารับบริการตรวจสอบสภาพและดูแลที่ศูนย์บริการเท่านั้น
เพื่อให้การรับประกันยังครอบคลุมอยู่ การนำรถยนต์ไปซ่อมนอกศูนย์บริการ อาจทำให้การรับประกันในทุกกรณีถูกยกเลิก
รวมถึงการละเลยไม่ยอมนำรถเข้าศูนย์บริการตรงตามเวลาที่กำหนดเช่น ทุก 1,000 - 10,000 กิโลเมตร
ก็อาจจะถูกยกเลิกการรับประกันเช่นเดียวกัน

ผู้ที่ใช้รถยนต์ใหม่และยังอยู่ในระยะรับประกัน จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดและถ้ามีปัญหาในการใช้งานเช่น รถยนต์เสียกลางทางสามารถให้ช่างทั่วไปซ่อมแซมเบื้องต้นได้แต่ห้ามเปลี่ยนอุปกรณ์หลักโดยเด็ดขาด รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์ตกแต่งเพราะมีผลต่อการรับประกันคุณภาพโดยตรง เช่น การโมดิฟายด์เครื่องยนต์อาจทำให้มีผลต่อเนื่องไปยังอุปกรณ์อื่นด้วย
เมื่อหมดระยะรับประกันคุณภาพแล้ว อาจปรับการดูแลรักษารถยนต์ได้ เช่นใช้บริการในศูนย์บริการเช่นเดิม หรือไม่ก็หาอู่มาตรฐานหรือบางคนอาจจะเป็นอู่เล็กๆซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป
ศูนย์บริการมั่นใจได้.....แต่(มักจะ)แพง
คุณต้องเข้าใจว่าศูนย์บริการนั้นเป็นตัวทำกำไรสำคัญของผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกราย หลักในการให้บริการ มักถูกประยุกต์
จากต้นกำเนิดบริษัทแม่ซึ่งคำนวณอายุการใช้งานเฉลี่ยของทุกชิ้นส่วนไว้แล้ว แต่ผู้ใช้รถยนต์ชาวไทยมักใช้วิธีเสียแล้วค่อยเปลี่ยนซึ่งถือว่าผิดหลักการอยู่บ้างแต่ก็ช่วยเซฟเงินในกระเป๋าไว้ได้ การนำรถยนต์เข้าศูนย์บริการเมื่อพ้นระยะรับประกัน ควรแจ้งความประสงค์ให้ชัดเจนว่าตรวจสอบว่ามีอะไหล่ชิ้นไหนที่เสียและให้ช่างแจ้งราคาก่อนลงเมื่อเปลี่ยนทุกครั้งไม่ควรบอกช่างว่าถ้าเจออะไหล่ชิ้นไหนเสียก็ให้เปลี่ยนได้เลย เพราะอะไหล่บางชิ้นนั้นถึงแม้ว่าอาจจะเสื่อมลงบ้างแต่ก็ยังใช้งานได้อยู่หรือไม่ก็อาจจะหมดอายุการใช้งานแล้วแต่คุณใช้รถมาอย่างทะนุถนอมก็อาจจะใช้งานได้อีก แต่ถ้าช่างได้ยินที่คุณบอกให้เปลี่ยนไปเลยเข้าก็จะเปลี่ยนให้ใหม่หมด
แต่ถึงกระนั้นการเข้าศูนย์บริการก็มีข้อดีอยู่ที่มีการรับประกันทั้งคุณภาพการซ่อมและอะไหล่ที่มั่นใจได้ แต่บางครั้งอาจจะมีอะไหล่ที่ราคาถูกมีคุณภาพแต่เราก็อาจจะไม่ได้ใช้โดยรวมเมื่อเอาเข้าศูนย์จึงมีราคาแพงและเจ้าของไม่ได้เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด

อู่ทั่วไปมีหลายระดับ....คุณก็เลือกเองได้

อู่ทั่วไปนั้นแบ่งเป็นหลายระดับ ผลงานในการซ่อมไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่บริการและเครื่องมือเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับฝีมือของช่างและคุณภาพของอะไหล่ด้วย ไม่ควรเลือกอู่ที่ขาดอุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็นหรือสกปรกไปด้วยฝุ่นทรายคราบน้ำมันจนเก
ินไป บางอู่อาจสร้างความประทับใจด้วยการคิดค่าแรงต่ำแล้วเอากำไรด้วยการบวกค่าอะไหล่แทน บางครั้งอาจจะบวกค่าอะไหล่เกิน 100 % ด้วยซ้ำ หากคุณสงสัยให้ลองโทรสอบถามร้านอะไหล่อื่นๆแต่อย่าไปอ้างถึงศูนย์ที่ไปซ่อมเด็ดขาด หรือไม่ก็ลองเช็คราคาจากหลายๆแห่ง

ในส่วนของความคุ้มค่ากับการใช้อู่ทั่วไปให้เน้นที่ผลงานการซ่อม คุณภาพ และราคาอะไหล่ รวมถึงการคิดราคาอย่างตรงไปตรงมา อีกเรื่องที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามก็คือการเช็คสภาพรถของคุณก่อนเข้าอู่ว่าอยู่ในสภาพไหน เลขไมล์ที่เท่าไหร่เพราะบางอู่อาจจะมีช่างที่แอบเอารถลูกค้าออกไปใช้งานหลังจากซ่อมเสร็จหรือบางทีอาจจะทำให้อุปกรณ์ของเราเสียไปด้วย ฉะนั้นควรจดจำและตรวจให้รอบคอบเสียก่อนว่ารถของคุณก่อนและหลังเข้าซ่อมนั้นมีอะไรที่เสียหายหรือแปลกไปบ้างจะได้อ้างกับเจ้าของอู่ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่แนวทางในการเลือกเท่านั้น เพราะหากรถของคุณเสียมากขึ้นมาวันใดก็ควรเอาเข้าศูนย์ที่ใกล้ที่สุดไว้ก่อนจะดีที่สุด หรือไม่ก็ลองเช็คจากหลายๆที่เพื่อดูว่าที่ไหนจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
MKT Team
เทคนิคการขับรถลดอุบัติเหตุ
1. กฎความปลอดภัย
ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
- คาดเข็มขัดนิรภัยและปรับเบาะนั่ง
- ปรับมุมกระจกส่องหลังทั้ง 3 บาน
- เลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง P (รถเกียร์อัตโนมัติ) หรือเกียร์ว่างสำหรับรถเกียร์ธรรมดา
- ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ให้เหยียบคลัซ (รถเกียร์ธรรมดา) หรือเบรค (รถเกียร์อัตโนมัติ)
- อย่ายืนสตาร์ทเครื่องยนต์รถ
- กรณีขับรถถอยหลัง ให้ขับช้าๆ เท่าที่จะทำได้
- เหยียบเบรคทดสอบในระยะ 10 เมตรแรกที่เคลื่อนรถออก
- ดึงเบรคมือทุกครั้งที่จอดรถ (รวมทั้งจอดรอสัญญาณไฟ)
- หมุนพวงมาลัยให้ล้อชนขอบถนน เมื่อจอดรถบนทางลาดชัน
- การเปลี่ยนยางรถให้หาวัสดุมารองหนุนล้อรถ เพื่อกันรถเคลื่อนขณะขึ้นแม่แรงยกรถ
- อย่าจอดรถบนเชิงสะพาน ทางโค้ง หรือช่องขวาสุด เมื่อรถเสีย
2. ท่านั่งขับรถ (จะบอกขีดความสามารถในการควบคุมรถ)
- การปรับระยะห่างเบาะรองนั่ง สำหรับรถเกียร์ธรรมดา ให้เท้าเหยียบแป้นคลัชจนสุด ค้างไว้ โดยไม่เขย่ง แล้วเลื่อนเบาะเข้ามาให้เข่างอเล็กน้อย และรถเกียร์อัตโนมัติให้เหยียบคันเร่งจนสุด โดยไม่เขย่งแล้วเลื่อนเบาะเข้ามาเหมือนกับรถเกียร์ธรรมดา
- ต้องนั่งหลังพิงพนักเบาะให้มั่นคง เวลาโดยชนจะลดแรงที่กระทำต่อกล้ามเนื้อหลัง
- ปรับระดับคอพวงมาลัยให้เห็นมาตรวัดและไพเตือนบนหน้าปัดและวงพวงมาลัยต้องสูงพ้นหน้าตัก/หน้าขาของผู้ขับรถ
- มือจับพวงมาลัยส่วนบนสุดและงอแขนเล็กน้อย จะช่วยให้มีระยะหมุนพวงมาลัยได้ดีกว่าการเหยียดแขนตรง
- เวลาขับรถอย่านั่งหุบเข่า ให้เข่าซ้ายยันกับคอนโซลกลางรถ เพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาขับรถ
- การหมุนพวงมาลัย ต้องให้น้ำหนักเท่ากันทั้งมือขวาและซ้าย จะทำให้หมุนพวงมาลัยไม่กระตุก
- ในการเหยียบเบรคหรือคลัซ ให้ส้นเท้าลอยจากพื้นรถ (ถ้าส้นเท้าแตะพื้นรถ แรงจะลงที่พื้นรถมากกว่าไปที่คันเบรค เป็นสาเหตุให้เบรครถไม่หยุด โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุวิกฤติ)
3. การวางแผนขับรถ (Driving plan) จะช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ ผู้ขับขี่จะต้อง
- มองรถที่อยู่ข้างหน้าไปอีก 5 คัน ในการขับตามกันบนถนน (ที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูง) ถ้าคันหน้าแตะเบรค ผู้ขับขี่ก็จะมีเวลาประมาณ 5 วินาทีในการตอบสนองได้ทัน
- ขณะขับรถเข้าโค้ง ตาต้องมองไปที่ทางโค้ง ซึ่งตาจะประเมินความโค้งและมือจะมีความสัมพันธ์กับตาทำให้ควบคุมรถเข้าโค้งได้ดีขึ้น
- การขับรถเข้าโค้ง ให้ชะลอความเร็ว หรือแตะเบรคก่อนเข้าโค้ง (Entrance) แล้วถอนเบรค พร้อมกับเร่งคันเร่งเมื่อถึงกลางโค้ง (Apex) และคืนพวงมาลัยเมื่อสุดโค้ง (Exit) ดูภาพประกอบ
- การเปลี่ยนเกียร์
- เกียร์ธรรมดา เปลี่ยนที่ความเร็วรอบระหว่าง 3,000-4,000 รอบต่อนาที แต่เมื่อจะ แซงให้เปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำก่อน
- เกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้ Kick Down ในการแซง
4. เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (Driving Tip)
- การหยุดรถ ควรหยุดห่างจากท้ายรถคันข้างหน้าในระยะที่สามารถมองเห็นล้อรถคันข้างหน้าได้
- การเปลี่ยนช่องทาง การเลี้ยวหรือแซง ควรให้สัญญาณไฟกระพริบอย่างน้อย 3 ครั้ง ก่อนหมุนพวงมาลัยและควรระมัดระวังรถจักรยานยนต์ที่อาจแซงขึ้นมา
- การเว้นระยะห่างในขณะขับรถ ควรเว้นระยะห่างประมาณ 2-4 วินาที โดยสังเกตระยะทางประมาณหนึ่งช่วงเสาไฟฟ้า
- การจอดรถ ควรถอยเข้าที่จอดรถ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันขณะขับออกจากที่จอดและง่ายต่อการบังคับรถ
การแก้ปัญหาฉุกเฉิน
1. กรณีหม้อน้ำรั่ว ให้หยุดรถแล้วดับเครื่องยนต์ จากนั้นสังเกตรอยรั่วของหม้อน้ำ ซึ่งจะมีน้ำพุ่งออกมา ต้องอยู่ห่างๆ และห้ามเปิดฝาหม้อน้ำโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกได้ ควรปล่อยให้หม้อน้ำเย็นลง
2. กรณียางระเบิด จะมีเสียงดังจากการระเบิดของยาง พยายามรวบรวมสติไว้ อย่าหักพวงมาลัยทันทีทันใด ค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง พวงมาลัยรถจะค่อยๆ หนักขึ้น รถจะเอียงไปทางด้านที่ล้อระเบิด บังคับรถให้วิ่งตรงทาง ค่อยๆ เหยียบเบรคที่ละน้อย นำรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้ายแล้วเปลี่ยนยางอะไหล่
3. เบรคแตก เมื่อเหยียบเบรคจะรู้สึกว่าจมหายลงไปไม่มีแรงต้าน ห้ามล้อไม่ได้ ให้บังคับพวงมาลัยให้รถวิ่งไปในทางที่ปลอดภัย พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดปุ่มล็อคคันเบรคมือไว้ แล้วค่อยๆ ดึงคันเบรคมือขึ้นและลงสลับกัน จนกระทั่งชะลอความเร็วและหยุดรถได้สนิท ข้อควรระวังก็คือ อย่าดึงเบรคมือขึ้นอย่างแรงในทันทีทันใด
4. รถตกน้ำ อย่าตกใจจนไม่ได้สติ ปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก (การคาดเข็มขัดนิรภัย ในขณะขับขี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แม้ในกรณีนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าเมื่อคาดแล้วจะทำให้ปลดล็อคไม่ทัน เพราะเมื่อรถกระแทกจะทำให้ตัวท่านไม่กระเด็น ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ และไม่หมดสติ ซึ่งอาจจะทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) ปล่อยให้ตัวรถบริเวณติดตั้งเครื่องยนต์จมน้ำก่อน ถ้าสามารถเปิดหน้าต่างหรือประตูรถออกได้ในขณะที่ตัวรถยังไม่จมน้ำหมดทั้งคันให้รีบทำ
5. กระจกหน้าแตก รวบรวมสติ พยายามจำข้างหน้ารถไว้ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อบังคับรถไม่ให้ชน เปิดไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดไหล่ทาง
MKT Team
การขับรถยนต์ในเวลากลางคืน แน่นอนที่สุดจะต้องทำการเปิดไฟหน้า เหตุผลที่ทำการเปิดไฟหน้ามีต่างๆนาๆ เช่น เพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน เพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ของตนเองให้กับผู้อื่นทราบ และที่สำคัญถูกต้องตามกฎหมายจราจร หากเราขับรถยนต์เพียงลำพังก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ แต่เป็นไปไม่ได้ที่บนถนนหนทางจะมีรถยนต์เพียงคันเดียว ดังนั้น ต้องมีความปลอดภัยทุกครั้งที่ทำการขับขี่
ไฟหน้าของรถยนต์ ที่พบบนถนนทางหลวงมีมากมายหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี, ความสว่าง, ระดับไฟหน้า และอื่นๆ ถ้ารถยนต์ทุกคัน ไม่มีการปรับแต่งในเรื่องของไฟหน้า ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หมายความว่า รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานอย่างไร ก็ให้ใช้อย่างนั้น เพราะถือว่าเป็นมาตรฐาน และเป็นไปตามกรมขนส่งทางบกกำหนด แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ไฟหน้าไม่เหมือนเดิม จริงอยู่การกระทำดังกล่าว ช่วยให้ผู้ขับขี่มีทัศนะวิสัยดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างมากเช่นเดียวกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ขนาดไฟหน้ารถยนต์มิได้ทำอะไรเลย เมื่อมีคนเดินสวนทางกับรถยนต์ที่กำลังวิ่ง จะมีการปิดตาก็เพราะว่าลำแสงของไฟหน้าส่องตานั่นเอง ซึ่งจะทำให้หน้ามืด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเป็นรถที่วิ่งสวนทางมาก็คงจะเหมือนกัน ผู้ขับขี่ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ชอบกับการที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เท่าใดนัก
หากมีการทำไฟหน้าให้ผิดไปจากเดิม รถที่วิ่งสวนทางมาก็แย่พออยู่แล้วยังมีพวกที่เปิดไฟตัดหมอกหน้า (สปอตไลท์) อีกยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะทำให้รถที่วิ่งสวนทางเกิดอุบัติเหตุได้ ในกรณีขับรถยนต์สวนทางและมีช่องทางวิ่ง 2 เลน จะเห็นได้ว่าไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนนั้น ทำให้หน้ามืดทันที การมองเห็นทิศทางด้านหน้าด้อยลง เมื่อใดเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาลองทำตามวิธีนี้ดูแล้วท่านจะพบว่าได้ประโยชน์มากเลยทีเดียว
เมื่อเราเดินทางบนถนนหลวงในต่างจังหวัดยามค่ำคืน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กับลำแสงของไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางให้ทำการขับขี่ใน “ช่องทางซ้ายสุด” จะได้ประโยชน์ ดังนี้
1. เมื่อเราอยู่เลนซ้ายสุดบนถนนหลวง ท่านจะพบว่าได้รับแสงไฟหน้า ของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาน้อยลง ทำให้มองทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
2. รถวิ่งเร็วและต้องการแซงก็ไม่ต้องขอทางจากเราไม่ว่าจะเป็นการบีบแตร หรือ ยกไฟหน้า (ไฟสูง) เพื่อขอทาง เพราะเราอยู่เลนซ้าย
3. เมื่อเราขับเลนซ้าย บนถนนหลวงจะมีรถขับตามหลังน้อยลง เพราะจะมีแต่รถวิ่งเร็ว เวลามองกระจกมองหลัง หรือ กระจกมองข้าง ก็ไม่เจอกับลำแสงไฟหน้าบ่อยๆ
4. หากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับช่องทางที่วิ่งเลนซ้าย ความปลอดภัยจะมีมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็ไม่รบกวน
วิธีการที่แนะนำจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการขับรถยนต์บนทางหลวงในต่างจังหวัด หากไม่สามารถวิ่งทางด้านช่องทางซ้ายมือได้ ให้วิ่งเลนกลาง (ช่องทางวิ่งมี 3 เลน) แล้วท่านจะขับรถยนต์อย่างไม่ยากเย็นมากนัก วิธีการนี้ไม่เจาะจง หรือ บังคับกันได้ครับ แล้วแต่ความถนัด แต่สำหรับผู้เขียน เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดยามค่ำคืน จะใช้วิธีการนี้ครับ ถึงแม้ว่ารถยนต์ของผู้เขียนจะมีไฟตัดหมอกหน้าก็ตาม ก็ไม่รบกวนต่อผู้ขับขี่ท่านอื่นอีกด้วยครับ
MKT Team
การทำประกันภัยรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่ดี สำหรับเจ้าของรถยนต์ทุกท่าน
หากมีการเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยต้องเข้ามารับผิดชอบหรือมาดำเนินการแทนเจ้าของรถอยู่แล้ว
แต่มีอยู่มากที่จะเลือกไม่ทำประกันภัยรถยนต์ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั่นก็คือ
รถยนต์ทุกคันหากมีการใช้งานอยู่ ก่อนจะถึงวันครบที่จะต้องเสียภาษีประจำปี
จะต้องมีการทำที่เราเรียกว่า “ พ.ร.บ . ” ทุกคัน
มิฉะนั้นจะผิดกฎหมาย และ ไม่อนุญาตให้ต่อภาษี
การประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประเภท 1 , ประเภท 2 , หรือ ประเภท 3 ก็ตาม
ต่างก็มีข้อกำหนดมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ ก็ไม่ทราบรายละเอียดหรือข้อมูลเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่ารถของฉันมีประกันภัย
หากเกิดเหตุย่อมได้รับสิทธิ์ความคุ้มครอง แต่ในความเป็นจริง อาจจะไม่ตรงกับที่เราเข้าใจอยู่ก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น การทำประกันชั้น 1 ได้จำแนกออกเป็นส่วนอื่นๆอีก อย่างที่เห็นเด่นชัดก็เกี่ยวกับการประกันชั้น 1 ของศูนย์บริการหรือที่เราเข้าใจว่าห้าง กับ ประกันภัยชั้นหนึ่ง ของ อู่ทั่วไป อีกอันหนึ่ง ก็ ประกันภัยชั้น 1 เกี่ยวกับคุ้มครอง รถหาย กับ รถไม่หาย ดั้งนั้นผู้ที่จะทำประกันภัย ขอให้สอบถามทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะทำการใดๆ
บริษัท ประกันภัย ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าของรถอยู่แล้วตามเงื่อนไขในเอกสาร แต่พนักงานของบริษัทประกันภัยอาจเป็นพนักงานใหม่ หรือ ไม่ทราบในรายละเอียดของประกันภัยมากนัก อาจทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน หรือ อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผ่านทางพนักงานขายเลยทำให้ตกหล่นไปบ้าง ที่สำคัญลูกค้าไว้ใจ เจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยเวลาเกิดเรื่องขึ้น ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ถึงอย่างไรต้องเรียกประกันภัยมา แต่มาช้าหรือมาเร็วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ( ส่วนใหญ่จะมาช้า )
การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ อย่าเห็นแก่ราคาถูก การบริการอาจจะไม่ดีตามที่เราคิดได้ ขอให้ท่านศึกษาให้ดีไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาลักษณะใด เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วคงจะเสียอารมณ์มิใช่น้อย ก็มีอยู่พอสมควรที่ร้องเรียนถึงบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากมองมุมกลับ บริษัท ประกันภัยอาจไม่จะไม่เกี่ยวข้อง แต่จะเป็นตัวเจ้าหน้าที่เอง ที่ทำให้เสียชื่อเสียงขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า การเซ็นต์ชื่อใดๆลงไปในเอกสาร ขอให้ อ่านให้รอบคอบเสียก่อน ว่าการเซ็นต์ชื่อไปนั้นเป็นการยินยอมชดใช้ของประกัน หรือ ยินดีที่จะจ่ายค่าเสียหายโดยที่ประกันภัยไม่เกี่ยวเลย และถ้าหากเราเซ็นต์ชื่อลงไปแล้ว ถือ ว่าถูกกฎหมายเสียด้วยซ้ำ มนุษย์มีวิธีการที่แยบยลในกระทำการต่างๆโดยที่ผู้อื่นไม่ทราบ ดั้งนั้น ขอให้ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน คนส่วนใหญ่พอเกิดอุบัติเหตุแล้วย่อมมีอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จังหวะนี้แหละ อาจจะทำการเซ็นต์ชื่อไปโดยไม่รู้ตัว คิดว่าเซ็นต์ๆไปจะได้จบเรื่อง แต่ที่ไหนได้กลับถูกหักหลังจากเจ้าหน้าที่ประกันภัย ดั้งนั้น หากไม่เข้าใจตรงจุดใด อย่าเซ็นต์ชื่อก่อนเด็ดขาด หากเอกสารนั้นอยู่ในมือผู้ที่ไม่หวังดี อาจเสียใจภายหลังอย่างไรแล้ว การทำประกันรถยนต์ถือเป็นเรื่องดี และ จำเป็น เห็นด้วยทุกประการครับผม
“ สงสัยให้ถาม ความอย่างไร ใครถูกผิด คิดสักครู่ ดูให้เห็น แล้วจึงเซ็นต์ชื่อ รับทราบ ”
MKT Team
การขับรถยนต์ในเวลากลางคืน แน่นอนที่สุดจะต้องทำการเปิดไฟหน้า เหตุผลที่ทำการเปิดไฟหน้ามีต่างๆนาๆ เช่น เพิ่มทัศนะวิสัยในการขับขี่ยามค่ำคืน เพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ของตนเองให้กับผู้อื่นทราบ และที่สำคัญถูกต้องตามกฎหมายจราจร หากเราขับรถยนต์เพียงลำพังก็จะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ แต่เป็นไปไม่ได้ที่บนถนนหนทางจะมีรถยนต์เพียงคันเดียว ดังนั้น ต้องมีความปลอดภัยทุกครั้งที่ทำการขับขี่
ไฟหน้าของรถยนต์ ที่พบบนถนนทางหลวงมีมากมายหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี, ความสว่าง, ระดับไฟหน้า และอื่นๆ ถ้ารถยนต์ทุกคัน ไม่มีการปรับแต่งในเรื่องของไฟหน้า ก็จะไม่มีปัญหาอะไร หมายความว่า รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานอย่างไร ก็ให้ใช้อย่างนั้น เพราะถือว่าเป็นมาตรฐาน และเป็นไปตามกรมขนส่งทางบกกำหนด แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ไฟหน้าไม่เหมือนเดิม จริงอยู่การกระทำดังกล่าว ช่วยให้ผู้ขับขี่มีทัศนะวิสัยดีขึ้นอย่างมาก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างมากเช่นเดียวกัน เคยสังเกตไหมครับว่า ขนาดไฟหน้ารถยนต์มิได้ทำอะไรเลย เมื่อมีคนเดินสวนทางกับรถยนต์ที่กำลังวิ่ง จะมีการปิดตาก็เพราะว่าลำแสงของไฟหน้าส่องตานั่นเอง ซึ่งจะทำให้หน้ามืด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเป็นรถที่วิ่งสวนทางมาก็คงจะเหมือนกัน ผู้ขับขี่ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ชอบกับการที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เท่าใดนัก
หากมีการทำไฟหน้าให้ผิดไปจากเดิม รถที่วิ่งสวนทางมาก็แย่พออยู่แล้วยังมีพวกที่เปิดไฟตัดหมอกหน้า (สปอตไลท์) อีกยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะทำให้รถที่วิ่งสวนทางเกิดอุบัติเหตุได้ ในกรณีขับรถยนต์สวนทางและมีช่องทางวิ่ง 2 เลน จะเห็นได้ว่าไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนนั้น ทำให้หน้ามืดทันที การมองเห็นทิศทางด้านหน้าด้อยลง เมื่อใดเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาลองทำตามวิธีนี้ดูแล้วท่านจะพบว่าได้ประโยชน์มากเลยทีเดียว
เมื่อเราเดินทางบนถนนหลวงในต่างจังหวัดยามค่ำคืน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กับลำแสงของไฟหน้าของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางให้ทำการขับขี่ใน “ช่องทางซ้ายสุด” จะได้ประโยชน์ ดังนี้
1. เมื่อเราอยู่เลนซ้ายสุดบนถนนหลวง ท่านจะพบว่าได้รับแสงไฟหน้า ของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาน้อยลง ทำให้มองทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน
2. รถวิ่งเร็วและต้องการแซงก็ไม่ต้องขอทางจากเราไม่ว่าจะเป็นการบีบแตร หรือ ยกไฟหน้า (ไฟสูง) เพื่อขอทาง เพราะเราอยู่เลนซ้าย
3. เมื่อเราขับเลนซ้าย บนถนนหลวงจะมีรถขับตามหลังน้อยลง เพราะจะมีแต่รถวิ่งเร็ว เวลามองกระจกมองหลัง หรือ กระจกมองข้าง ก็ไม่เจอกับลำแสงไฟหน้าบ่อยๆ
4. หากเราใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับช่องทางที่วิ่งเลนซ้าย ความปลอดภัยจะมีมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่ก็ไม่รบกวน
วิธีการที่แนะนำจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการขับรถยนต์บนทางหลวงในต่างจังหวัด หากไม่สามารถวิ่งทางด้านช่องทางซ้ายมือได้ ให้วิ่งเลนกลาง (ช่องทางวิ่งมี 3 เลน) แล้วท่านจะขับรถยนต์อย่างไม่ยากเย็นมากนัก วิธีการนี้ไม่เจาะจง หรือ บังคับกันได้ครับ แล้วแต่ความถนัด แต่สำหรับผู้เขียน เมื่อเดินทางไปต่างจังหวัดยามค่ำคืน จะใช้วิธีการนี้ครับ ถึงแม้ว่ารถยนต์ของผู้เขียนจะมีไฟตัดหมอกหน้าก็ตาม ก็ไม่รบกวนต่อผู้ขับขี่ท่านอื่นอีกด้วยครับ
MKT Team
เตรียมตัวก่อนขับรถ
มีผู้คนอยู่จำนวนไม่น้อยเหมือนกัน สำหรับถอดรองเท้าในการขับขี่รถยนต์ ไม่ว่าท่านนั้นจะเป็นสุภาพสตรี หรือสุภาพบุรุษ ซึ่งเป็นความถนัดของแต่ละบุคคล ไม่สามารถบังคับกันได้ การถอดรองเท้าขับขี่รถยนต์มิได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการถอดเสื้อผ้าขับขี่รถยนต์ อย่างนี้สิผิดกฎหมายครับ หากสอบถามผู้ที่ขับขี่โดยการถอดรองเท้าจะได้รับคำตอบว่า “มันถนัดดี มีความรู้สึกดี” อะไรประเภทอย่างนี้ แต่อย่างลืมเรื่องความสะอาดของเท้าด้วยละกันนะครับ
หากท่านถอดรองเท้าในการขับขี่แน่นอนที่สุดท่านต้องถอดรองเท้า ปัญหามีอยู่ว่า ถอดแล้วเก็บไว้ที่ไหนและอย่างไร ขอแนะนำว่าเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย หมายความว่า ควรเก็บไว้ไม่ให้รบกวนบริเวณพื้นที่ของผู้ขับขี่ เพราะหากมีการเคลื่อนไหว อาจจะไปขัดขาเบรกและคันเร่งได้นั่นเอง ตรงนี้เองที่จะมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นครับ หากรถยนต์ของท่านมีถาดไว้รองเท้าใต้เบาะนั่ง ก็ให้ไว้ตรงนั้นครับ ในรถยนต์โตโยต้ามีอุปกรณ์นี้ด้วยกันหลายรุ่นครับ ซึ่งในรถยนต์ของผู้อ่านอาจจะมีก็ได้นะครับ
ในเรื่องของรองเท้าที่ใช้ในการขับขี่ว่าขับขี่จะนุ่มนวลหรือไม่ รองเท้าก็มีส่วนเช่นเดียวกันครับ เคยสังเกตกันบ้างหรือไม่ครับ ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนรองเท้าแล้วทำการขับรถยนต์ที่ใช้อยู่เป็นประจำนั้น การขับขี่ของท่านเปลี่ยนไป ไม่ค่อยราบรื่นเหมือนรองเท้าคู่เดิม นั่นก็เพราะว่า ไม่ชิน จังหวะต่างๆ ผิดไป องศาในการเหยียบเบรกและคันเร่งผิดไป เลยทำให้การเคลื่อนที่ของเท้าที่ใช้เหยียบผิดไปนั่นเองครับ
การเลือกสวมใส่รองเท้าในการขับขี่นั้น ผู้ขับขี่จะต้องมีความถนัด เพราะจะสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการขับขี่ได้ บางท่านอาจจะบอกว่ารองเท้าคู่ไหนฉันก็ขับขี่ได้ ก็จริงอยู่ทุกคนก็ขับได้ ถ้าขับรถยนต์เป็น แต่มองลึกๆแล้วความรู้สึกที่ได้จากการขับขี่ไม่เหมือนกันครับ แล้วส่วนใหญ่ก็มองข้ามกันไป จนบางครั้งผู้โดยสารที่นั่งมาด้วย อาจจะแซวว่า “ขับรถเป็นหรือเปล่าเนี่ย” หรือเกิดอาการเวียนหัว แทบจะอาเจียนก็มี ยิ่งในกรุงเทพฯ รถติด ต้องเหยียบเบรกและคันเร่งบ่อยๆ การออกตัว การเร่งแซง ไม่ว่ารถยนต์ของท่านเป็นเกียร์ธรรมดา หรือ เกียร์อัตโนมัติก็ตามเป็นได้ทั้งสิ้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น อาจจะมาจากรองเท้าที่เราใช้ในการขับขี่ก็เป็นไปได้ครับ ดังนั้น ถ้าหากหารองเท้าที่เอาไว้สำหรับขับขี่รถยนต์เป็นประจำ แล้วทำให้มีการขับขี่ที่ดี ก็จะช่วยในเรื่องความนุ่มนวลของการขับขี่ได้ครับ
หากไม่รู้ว่ารองเท้าคู่ไหนเหมาะสมที่สุด ก็ให้ทดสอบโดยการขับจากรถยนต์ของท่านเอง เมื่อได้ความรู้สึกที่ดีก็ให้เลือกคู่นั้น นั่นแหล่ะครับ สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์มาแล้วหลายคัน สังเกตไหมครับว่าการขับขี่ของท่านก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ถ้าหากเป็นรถยนต์ใหม่ ท่านต้องปรับตัวเข้ากับรถยนต์นั้นๆ ครับ ดังนั้น ท่านต้องสร้างความเคยชินให้เกิดขึ้นครับ รองเท้าที่สวมใส่ในการขับขี่ครับ ถึงแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เกี่ยวข้องกับการขับขี่นะครับ
MKT Team

12 วิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่าย ๆ

ขั้นตอนการประหยัด

1. เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้าเสมอ
ผลที่จะได้รับ อุณหภูมิที่เย็นน้ำมันหดตัวได้ปริมาตรมากขึ้น 2%

2. เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว
ผลที่จะได้รับ ถ้าเติมจนเต็มปรี่ ร้อนๆน้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบาย

3. อุ่นเครื่อง 1 นาทีในหน้าร้อนและ 3 นาทีในหน้าหนาว
ผลที่จะได้รับ เครื่องจะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น

4. ค่อยๆออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง 1-2 พันรอบ
ผลที่จะได้รับ ได้ความนิ่มนวล ประหยัด และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์

5. ควรใช้เกียร์สูงเมื่อรถวิ่งได้ 2500 รอบขึ้นไป
ผลที่จะได้รับ การลากเกียร์จะทำให้ชดเกียร์ทำงานจนอายุการใช้งานสั้นและสิ้นเปลืองพลังงาน

6. เครื่อง 2.0 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 110 กม./ชม.
ผลที่จะได้รับ การรักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง

7. เครื่อง 1.6 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 90 กม./ชม.
ผลที่จะได้รับ การรักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง

8. พักรถสัก 15 นาทีเมื่อขับเกิน 4 ชม.เพื่อให้ลดความร้อน
ผลที่จะได้รับ ทำให้น้ำมันในระบบคลายความร้อนกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง

9. เกียร์ถอยกินน้ำมันมากสุด ควรค่อยๆถอยไม่ต้องรีบ
ผลที่จะได้รับ เพราะเกียร์ถอยใช้อัตราทดและแรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์

10. ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตรให้ปิด COM แอร์ลดภาระเครื่อง
ผลที่จะได้รับ เพื่อเป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์และไล่เชื้อราที่อยู่ในนั้นด้วย

11. เช็คลมยางให้สม่ำเสมอทุกๆ 2 อาทิตย์และเมื่อจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด
ผลที่จะได้รับ เมื่อลมยางอ่อนรถจะวิ่งได้ช้า ขอบยางสึกมากอายุการใช้งานสั้น

12. พยายามอย่าใส่ของไว้ในรถเยอะ บรรทุกเท่าที่จำเป็นสิ่งใดไม่ใชเสีรำออก
ผลที่จะได้รับ เพิ่มน้ำหนักรถทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 % ตามระยะทาง
MKT Team
การบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะทางที่กำหนด มีแต่สิ่งที่ดี
การบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะทางถือเป็นเรื่องจำเป็น โดยทางผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. ระยะเวลา(นับตั้งแต่วันที่ออกรถ)
2. ระยะทาง (ที่วิ่งใช้งานไปแล้ว)
หากมีการใช้รถน้อย ก็ให้คำนวณจากระยะเวลา แต่ถ้าใช้รถยนต์เป็นปกติถึงมาก ก็ให้คิดจากระยะทางปัจจุบัน (บนมาตรวัด) หรือ แล้วแต่ระยะใดถึงก่อนก็ได้ครับ การนำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะทางที่กำหนด จะเกิดประโยชน์อย่างมากแก่ผู้ใช้รถ ชิ้นส่วนต่างๆย่อมมีการซ่อม, เปลี่ยน หรือ บำรุงรักษาตามกำหนด ก็จะส่งผลให้มีการใช้งานได้ยาวนาน ซึ่งช่วยประหยัดในด้านต่างๆเป็นอย่างดี และไม่เป็นที่จะต้องซ่อมบ่อย เพื่อรถยนต์ของท่านพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสมรรถนะสูงสุดด้วย ดังนั้น ควรนำรถยนต์ของท่านเข้าเช็คระยะที่ศูนย์บริการตามที่กำหนด แล้วท่านเจ้าของรถจะพบสิ่งที่ดีๆ ดังนี้
1. ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
เพราะ การบำรุงรักษารถยนต์อยู่เสมอ หรือ เครื่องยนต์อยู่เสมอ ทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเชื้อเพลิง หรือ อัตราการสิ้นเปลืองนั้นมีประสิทธิภาพการทำงานที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นของระบบเชื้อเพลิงเอง หรือ ตัวเครื่องยนต์ก็แล้วแต่ การที่จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยหรือมากนั้น ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายอย่าง ส่วนประกอบบางอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนทุกๆระยะ หากมีการตรวจพบก็ควรรีบทำการเปลี่ยน หรือ มีการทำงานที่ผิดปกติจากชิ้นส่วนนี้ก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน ถ้าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการสิ้นเปลืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดหลังจากที่ได้ตรวจเช็ค 1,000 กิโลเมตรแรกไปแล้ว ควรนำรถเข้าตรวจเช็คทุก 10,000 กิโลเมตร ครับ รายการต่างๆที่กระทำทุกระยะทางนั้น จะเกิดผลดีอย่างมากต่อเจ้าของรถยนต์และตัวรถยนต์ด้วย ดังนั้นเพื่อความเข้าใจมากขึ้น ขอเสนอตัวอย่างบางรายการในรูปแบบของตาราง ดังนี้
ระยะตรวจเช็ค ระยะการใช้งาน
1,000 กม. 1 เดือน
10,000 กม. 6 เดือน
20,000 กม. 12 เดือน
30,000 กม. 18 เดือน
40,000 กม. 24 เดือน
50,000 กม. 30 เดือน
60,000 กม. 36 เดือน
70,000 กม. 42 เดือน
80,000 กม. 48 เดือน
90,000 กม. 54 เดือน
100,000 กม. 60 เดือน
เพื่อให้รถของท่านคงสมรรถนะสูงสุด ควรนำรถเข้าตรวจเช็คตามตารางการบำรุงรักษาเสมอ ตามเงื่อนไขระยะทางหรือระยะเวลา อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งถึงกำหนดก่อน ทั้งหมด 10 ระยะ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการรับประกัน 3ปี/100,000 กม.
หมายเหตุ : การเช็คระยะตั้งแต่ 1,000-50,000 กม. ลูกค้าไม่ต้องเสียค่าแรงเช็ค (ยกเว้น ค่าอะไหล่,เคมีภัณฑ์)

ขอกล่าวถึงเรื่องประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นแค่จุดที่หลายคนมองข้ามกันไป นั่นก็คือ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ครับ การเปลี่ยนถ่ายนำมันเครื่องจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายทุกๆระยะอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านสามารถนำตรงส่วนนี้เป็นเกณฑ์ในการนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการได้อีกทางหนึ่งครับ
2. ยืดอายุการใช้งานของรถยนต์
เพราะ คำว่ายืดอายุการใช้งานของรถยนต์ มิใช่คำว่า ยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนนะครับ หมายถึง รถยนต์ทั้งคัน นั่นก็หมายความว่า สัมพันธ์กันทุกชิ้นส่วนนั่นเอง หากไม่มีการบำรุงรักษาตามระยะทางที่กำหนด ชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนเป็นสาเหตุที่ให้ท่านไม่สามารถใช้รถยนต์ได้ถึงแม้จะเป็นแค่จุดเล็กน้อยก็ตาม ตราบใดมีการบำรุงรักษาและเปลี่ยนชิ้นส่วนตามระยะเวลาที่กำหนด จะเป็นผลให้ประสิทธิภาพของการทำงานจากชิ้นส่วนเหล่านั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเดิม เมื่อทุกชิ้นส่วนไม่มีปัญหา ย่อมส่งผลให้ตัว “รถยนต์” คงทนยิ่งขึ้นพร้อมกับใช้งานได้ยาวนานขึ้นครับ ดังนั้น เห็นสมควรว่าน่าจะนำรถเข้าเช็คยังศูนย์บริการทุกระยะทางที่กำหนดครับ
3. ขับขี่ได้อย่างสบายใจไร้กังวล
เพราะ ตัดปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นขณะใช้รถยนต์ออกไปได้เลย เจ้าของรถทุกท่านต่างก็มีไว้เพื่อพร้อมใช้งานตลอดเวลา หากมีเหตุการณ์รีบด่วนที่จะต้องใช้รถยนต์ (ขอให้คำนึงถึงกันมากๆครับ) แล้วใช้งานไม่ได้ จะทำอย่างไร? รถยนต์แต่ละคันมีชิ้นส่วนมากมายและหลายระบบมันเป็นการยากที่เจ้าของรถหรือผู้ดูแลรถจะเข้าใจถึงสิ่งต่างๆได้ ยิ่งปัจจุบันใช้เทคโนโลยีที่สูงมากที่บรรจุอยู่ในรถยนต์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษบวกกับผู้ชำนาญงานถึงจะเข้าใจถึงระบบเหล่านั้น ดังนั้น ควรนำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะเวลาที่กำหนด หากมีสิ่งใดที่ขัดข้องหรือชำรุด จะได้ทำการแก้ไขทันเวลา ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบสิ่งใดผิดปกติ ก็จะแจ้งให้เจ้าของรถยนต์ทราบ ส่วนการที่จะลงมือซ่อมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าของรถครับ ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถกระทำโดยพละการได้ครับ
4. ปลอดภัย
เพราะ ความสมบูรณ์ของรถยนต์ นำมาซึ่งความปลอดภัยในการใช้รถยนต์นั่นเองครับ ระบบต่างๆที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก (คงไม่มีใครขับรถยนต์โดยไม่ได้ใช้เบรกนะครับ) เป็นส่วนที่สำคัญมากระบบหนึ่ง หากไม่มีการบำรุงรักษาตามกำหนด อาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุได้ ยกตัวอย่าง เช่น มีการตรวจพบว่า ผ้าเบรกใกล้หมด แล้วยังไม่ทำการเปลี่ยนใหม่
สังเกตไหมครับว่า 1. เบรกไม่ค่อยอยู่ 2. แรงที่ใช้ในการเบรกมากขึ้น, 3. ระยะทางที่ใช้ในการเบรกมากขึ้น จุดนี้เอง หากมีการเบรกกะทันหัน โอกาสเกิดอุบัติเหตุมีอย่างแน่นอน ขอยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง คือ หลังจากมีการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ยางล้อรถยนต์เสื่อมสภาพหรือถึงอายุกำหนดเปลี่ยนใหม่ แต่ท่านไม่เปลี่ยน หากมีการระเบิดของยางย่อมเสียการทรงตัว โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็มีอีกเช่นกัน ขอให้ผู้อ่านคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยครับ วิธีที่ขอแนะนำ เพียงแต่เจ้าของรถยนต์นำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะทางที่กำหนดเท่านั้นแล้ว ท่านจะพบกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของท่าน ว่าสิ่งไหนควรรีบทำ อันไหนใกล้เสื่อมสภาพอะไรทำนองนี้ ดังนั้น นำรถเข้าตรวจเช็คยังศูนย์บริการตามระยะทางที่กำหนดเป็นดีที่สุดครับ


5. ไว้วางใจได้
เพราะ ในการตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง แน่นอนจะต้องถูกใจผู้ใช้รถ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว รถยนต์แต่ละคันมีขั้นตอนการผลิตอย่างเข้มงวด หลังจากมีการจำหน่ายแล้วการบริการหลังการขายถือเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าของรถควรนำรถเข้าตรวจเช็คตามกำหนดครับ การบริการจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศหรือทั่วโลก ขั้นตอนการดำเนินการของศูนย์บริการมีการทำงานอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน อะไหล่ภายในศูนย์บริการก็เป็นของแท้ทุกชิ้น รับรองโดย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และของประเทศไทย เรื่องที่จะมีของเทียมหรือของปลอมหมดสิทธิ์ครับ ความสามารถในการแก้ไขปัญหารถยนต์ก็ตรงจุด ทำให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถใช้รถยนต์ได้อย่างสบายใจ ในเรื่อง ค่าแรง ค่าอะไหล่ ก็เป็นมาตรฐานเดียวกันครับ การรับประกันสามารถเข้าตรวจเช็คหรือเตลมได้ทั่วประเทศ ตามข้อกำหนดโดยมีมาตรฐานเดียวกันครับ หากมีการขัดข้องเกิดขึ้นกับรถยนต์ของท่านให้นำรถเข้าศูนย์บริการ แต่อย่าลืมนำบัตร Smart Card ไปด้วยเท่านั้นครับ ดังนั้น ควรนำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะทางที่ศูนย์บริการกำหนดเป็นดีที่สุดครับ
6. ได้รับประกันตามเงื่อนไข
เพราะ การนำรถเข้าตรวจเช็คยังศูนย์บริการตามกำหนดทุกระยะนั้น ท่านเจ้าของรถจะได้รับประโยชน์จากงานรับประกันอย่างเต็มที่ ถึงแม้ ศูนย์บริการนั้น มิได้เข้าตรวจเช็คหรือบริการเป็นประจำก็ตาม ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สามารถทำการตรวจสอบได้ทั้งหมดครับ การรับประกันจะครอบคลุมรถยนต์ที่ออกจากโรงงาน และอุปกรณ์ตกแต่งที่ติดตั้งเพิ่มเติมจากตัวแทนจำหน่ายอีกด้วย ข้อมูลของการรับประกัน ผู้อ่านศึกษาได้จากคู่มือที่มาพร้อมกับตัวรถยนต์ครับ ด้านคูปองฟรีค่าแรงในการเช็คระยะทาง 1,000 , 10,000 , 20,000 , 30,000 , 40,000 และ 50,000 กิโลเมตร นั้น ข้อมูลอยู่ในบัตร Smart Card ครับ ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ให้นำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะที่กำหนดได้ที่ศูนย์บริการครับ
7. ถูกต้องตามกฎหมาย
เพราะ การผลิตรถยนต์จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน รถยนต์แต่ละคันมีข้อกำหนดมากมาย เช่น การปล่อยมลพิษ, ระดับเสียงดัง, ความสูงของรถ , ระดับไฟหน้า เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานถือว่าเป็นมาตรฐานและถูกต้องตามกฎหมายครับ การดำเนินการของศูนย์บริการไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็จะมีมาตรฐาน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายกำหนดเช่นเดียวกันครับ หากทุกคนเคารพในกฎหมาย สังคมจะมีความสุข ดังนั้น ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการตามระยะที่กำหนดครับ
ท้ายนี้ การนำรถเข้าตรวจเช็คตามระยะที่กำหนด ทางผู้ผลิตได้คำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว เพื่อให้รถยนต์ของท่านมีประสิทธิภาพที่ดีตลอดเวลา การใช้งานยาวนานคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น อะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ ที่ทำให้ประหยัดได้ ควรจะดำเนินการตามนั้น แล้วทุกๆท่านจะใช้รถยนต์ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุดครับ

ด้วยความห่วงใยจากเรา ชาวโตโยต้าบัสส์