MKT Team
38 ค่ายรถลุยเปิดรถใหม่ รถแต่งพิเศษ รวมถึงคอนเซ็ปต์ คาร์ ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ที่เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1 - 12 ธันวาคม นี้ พร้อมงัดโปรโมชันเด็ด อีกหลากหลายกิจกรรมที่น่าสนใจเพียบ

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” หรือ “The 27th Thailand International Motor Expo 2010” กล่าวถึงการจัดงานปีนี้ว่า เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเราในฐานะผู้จัดงาน ที่ผู้ประกอบการบริษัทรถยนต์และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่นเช่นทุกปี รวมถึงประชาชนที่สนใจสอบถามข้อมูลของงานและรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะมาอวดโฉมในปีนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นว่ายอดผู้ชมงานน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านคน





สำหรับรายชื่อของรถยนต์ที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ ออดี้ /เบนท์ลีย์/บีเอ็มดับเบิลยู/ เชอรี่/ เชฟโรเลต/ ซีตรอง/ ดีเอฟเอ็ม/เฟอร์รารี่ / เฟียต/ ฟอร์ด/ โปรตอน/ แกรนด์ แคร์รีบอย/ ฮอนด้า/ ฮุนได / อีซูซุ/ เกีย/ แลนด์ โรเวอร์/ เลกซัส/ มาสด้า/ เมอร์เซเดส-เบนซ์/ มินิ/ มิตซูบิชิ/ มิตซูโอกะ/ เอทีเอ็ม / นิสสัน/เปอโยต์ / ปอร์เช่ /โฟตอน/รูฟ/ สโกดา/ ซันยอง/ ซูบารุ/ ซูซูกิ/ ทาทา/ โตโยตา/โฟล์คสวาเกน และวอลโว รวมถึงค่ายเอ.พี.ฮอนด้า ที่จะนำรถจักรยานยนต์มาเปิดจองในงานด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมงานยังมีโอกาสรับชมและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จะมาสร้างสีสัน ความสนุกสนาน และสาระน่ารู้ พร้อมมอบของที่ระลึกมากมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

โครงการประกวดนวัตกรรมยานยนต์ (THE 1st MOTOR EXPO AUTOMOTIVE INNOVATION AWARD 2010) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือและมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้สนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของนักศึกษาจากหลากหลายสถาบัน โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะนำมาจัดแสดงที่อาคาร ชาเลนเจอร์ 2 บูธ B12
โครงการ "ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับสื่อสากล" (SKILL DRIVING EXPERIENCE) เปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนล่วงหน้าในราคาพิเศษ โดยครูฝึกมืออาชีพ เพื่อพัฒนาทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย ทั้งรถยนต์ขับเคลื่อน 4 และ 2 ล้อ ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่บูธ บริเวณชาเลนเจอร์ 1

ซูบารุ สตันท์ โชว์ (SUBARU STUNT SHOW) ที่จะมาสร้างความอึ้ง ทึ่ง เสียว ให้แก่ผู้ชม เป็นปีที่ 2 สำหรับการแสดงผาดโผนครั้งนี้ รัสส์ สวิฟท์ ยังคงใช้รถยนต์สมรรถนะสูง ซูบารุ อิมพเรซา โดยจัดแสดงระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2553 วันละ 3 รอบ สนใจชมสามารถติดต่อได้ที่บูธ ซูบารุ

มอเตอร์ สปอร์ท โซน (MOTOR SPORT ZONE) กิจกรรมเอาใจคนรักรถแข่งทั้งทางเรียบและทางฝุ่น รถแข่งดริฟท์ ซึ่งปีนี้ยกทัพอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องมานำเสนอราคาพิเศษสุด พร้อมชมสุดยอดรถแข่งที่แฟนพันธุ์แท้หัวใจมอเตอร์สปอร์ทไม่ควรพลาด บริเวณอาคารชาเลนเจอร์ 3

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ยกขบวนรถโบราณทั้งยุคก่อนสงคราม หลังสงคราม และรถคลาสสิค มาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ชมได้ทราบประวัติความเป็นมา รวมถึงพัฒนาการของรถยนต์ในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย

โรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (SPIRIT OF THE 4x4 DRIVING SCHOOL) จำลองสนามฝึกสอนของโรงเรียน ฯ มาไว้ที่ด้านข้างอาคารชาเลนเจอร์ เปิดการสอนหลักสูตรพื้นฐานแบบเร่งรัด เพื่อให้ผู้สนใจเรียนรู้ โดยสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่บูธ SPIRIT 4X4 อาคารชาเลนเจอร์ 1

ลานศิลปวัฒนธรรม พบกับการแสดงจากน้องๆ เยาวชนที่มีความสามารถ อาทิ การแสดงดนตรีไทย ดนตรีพื้นบ้าน การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย กระบี่กระบอง หรือการแสดงนาฏศิลป์ ผู้ชมงานที่สนใจสามารถติดตามตารางการแสดงได้บริเวณลานศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย การแสดงจะเริ่มประมาณ 15.00 น.ของทุกวัน
CAR STERO ALLEY & ACTIVITES บริษัทเครื่องเสียงรถยนต์ชั้นนำของเมืองไทย นำรถยนต์ที่ตกแต่งด้วยเครื่องเสียงคุณภาพสูง มาร่วมโชว์พลังเช่นทุกปี พร้อมแดนเซอร์สาวสวยสุดเซกซีที่มาโชว์ลีลาให้แก่ผู้นิยม เครื่องเสียงได้ชื่นชม บริเวณลานแอคทีพ สแควร์ โดยการแสดงจะเริ่มตั้งแต่ช่วงค่ำและสิ้นสุดเวลาประมาณ 22.00 น.

“ที่พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา คือ มหกรรมยานยนต์ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าประชุมร่วมระหว่างรัฐบาลกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังปัญหาอุปสรรคของผู้ประกอบการอันจะนำไปสู่ความร่วมมือ และเข้าใจดีระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในอนาคต ในวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา13.00-14.30น.ณ ห้องจูปีเตอร์ 4-6 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี หลังจากนั้นนายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้แทนในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนบริเวณห้อง Press Center เวลาประมาณ 16.00 น.
เตรียมพบกับนวัตกรรมยานยนต์และร่วมกิจกรรมต่างๆ กันแบบจุใจได้ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27” ตั้งแต่วันที่ 1 - 12 ธันวาคม 2553 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดงานได้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 13.50 - 15.40 น.
MKT Team
รถยนต์คือ
เครื่องยนต์ จะใช้ขนาด 1800 cc. 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว วัฎจักร atkinson vvt-I
กำลังสูงสุด 73 kw (99 ps) ที่5200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบต่อนาที
ด้านมอเตอร์เจนเนอเรเตอร์ จะมีกำลังสูงสุด 60 kw(82 ps) ทางด้านแรงบิดจะมีถึง 207 นิวตันเมตร แต่ถ้าเครื่องยนต์บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะได้กำลังสูงสุดถึง 100 kw (136 ps) เลยทีเดียว ซึ่งมีกำลังที่เพียงพอรวมถึงการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ตัวเครื่องยนต์จะไร้ซึ่งสายพาน ดังนั้น แรงฉุดที่จะมากระทำหรือภาระที่มีผลต่อเครื่องยนต์ก็จะดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองตกประมาณ ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตรกันเลยทีเดียว ทางด้านการปล่อยไอเสียผ่านมาตรฐาน Euro ระดับที่ 5 น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ตั้งแต่ E10 ขึ้นไป (อี 20 ยังใช้ไม่ได้)
ทางด้านแบตเตอรี่ไฮบริด จะใช้ชนิดนิกเกิ้ลเมทัลไฮดราย ที่มีแรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ มี 28 โมดูล หากเทียบกับ camry จะมีน้อยกว่า เพราะcamry มีแรงดันไฟฟ้า 244.8 โวลต์ มี 34 โมดูล ซึ่งจะแตกต่างกันนั่นเอง ทางด้านการรับประกันในส่วนแบตเตอรี่ไฮบริดนั้น 5 ปี โดยที่ไม่จำกัดระยะทาง
การขับเคลื่อน จะใช้ระบบส่งกำลังแบบ E – CVT เหมือนที่อยู่ใน camry hybrid แต่มีการเลือกรูปแบบการขับขี่ได้คือ 1 EV 2 ECO MODE 3 PWR MODE แต่ละอย่างนั้นมีการทำงานที่ต่างกันแล้วแต่ผู้ขับขี่ต้องการนั่นเอง
คันเข้าเกียร์จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอาจดูแปลกตากันไปบ้าง ที่แน่ๆสะดวกสบายทันสมัย เบาแรง เข้าเกียร์ง่าย การที่จะเข้าเกียร์ผิดตำแหน่งจะกระทำไม่ได้เลย นอกจากนั้นเงื่อนไขในการทำงานผู้ขับขี่จะต้องทำความเข้าใจเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดจะแสดงบนที่มาตรวัดเพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เป็นต้น ผสมผสานกับช่วงล่างทางด้านหน้าแบบเมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ในส่วนของเบรกก็เป็นดีสเบรกทั้งสี่ล้อ ประสิทธิภาพของการเบรกมั่นใจได้เลยว่าสุดยอด หากมีการเบรกแบบกะทันหัน ไฟเบรกท้ายจะมีการทำงานแบบกระพริบทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การบังคับเลี้ยวจะเป็นแบบไฟฟ้า(eps) หากมีการจอดรถบนทางชัน จะมีการทำงานของระบบ HAC ไม่ให้รถมีการเลื่อนไถลขณะออกตัวบนทางชันนั่นเอง จะเหมือนกับรถยนต์ ALPHARD และ LANDCRUISER PRADO เงื่อนไขการทำงาน จะต้องศึกษาเพิ่มเติมเล็กน้อย

มาดูกันที่มิติของรถยนต์ มีความยาวของทั้งหมด 4.46 เมตร กว้าง 1.745 เมตร และสูง 1.49 เมตร เรียกได้ว่ามีการออกแบบได้อย่างลงตัวทีเดียว รัศมีวงเลี้ยวแค่ 5.2 เมตร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน เท่ากับ cd 0.25 เท่านั้น ทำให้การเคลื่อนที่ของรถรวมถึงการทรงตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย การบรรทุกสัมภาระทางด้านท้ายสามารถจุได้ถึง 445 ลิตร ถือว่าไม่น้อยเลย ความจุของถังน้ำมันเชื้อเพลิงก็ 45 ลิตร เรียกได้ว่า หากใช้งานตามเงื่อนไขแทบจะลืมการเติมน้ำมันกันเลยทีเดียว

ถัดมาในเรื่องของอุปกรณ์ภายนอกที่มีให้ใน prius hybrid เริ่มที่ ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED จะออกแนวๆสีฟ้าพิเศษ มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไฟประเภทนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ส่วนหนึ่ง ยังไม่หมดแค่นั้น ยังสามารถปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ และเปิด-ปิดอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นรุ่น top ก็จะมีระบบทำความสะอาดไฟหน้า (pop-up type) มาพร้อมกับตัวรถอีกด้วย กระจกมองข้างเป็นแบบลดการเกาะตัวของหยดน้ำ (hydrophilllic) แต่ก็มีสิ่งที่เหนือชั้นคือ กระจกมองข้างจะ มีระบบไล่ฝ้าให้มาอีกด้วยนะครับ ทางด้านของปัดน้ำฝนด้านหน้าจะเป็นแบบอัตโนมัติส่วนทางด้านท้ายจะเป็นแบบหน่วงเวลาที่ดูเข้ากันกับสปอยร์เลอร์หลังที่ดูโดดเด่นมองเห็นอยู่ทางท้ายรถ
อุปกรณ์ภายในขอนำเสนอที่เด่นๆและเน้นๆใน prius hybrid ได้แก่

- พวงมาลัยหนังแบบ 4 ก้าน

- หน้าต่างไฟฟ้ามาพร้อมระบบป้องกันกระจกหนีบทั้ง 4 บาน

- ไฟเอนกประสงค์มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น ไฟส่องสว่างที่เท้าคู่หน้าก็มีมาให้พร้อมสรรพ ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารก็เป็นแบบอัตโนมัติ กระจกมองหลังก็เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ วัสดุหุ้มเบาะประเภทหนังแท้สีเทา ในรุ่น top ส่วนในรุ่นรองเบาะจะเป็นวัสดุคล้ายกำมะหยี่ ตำแหน่งผู้ขับจะมีชุดดันหลังมาให้ด้วย เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับแยกได้ ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีระบบขจัดฝุ่นละอองที่เหมือนกับรถยนต์ Alphard ที่เบาะคู่หน้าจะมีระบบอุ่นเบาะมาให้ด้วยในรุ่น top ซึ่งจะช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อของร่างกายได้

มาดูกันต่อ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกกันบ้างที่มีให้ ใน prius hybrid เริ่มด้วย push start ที่มีอยู่ในรถยนต์ระดับหรู บวกกับ smart entry ที่อำนวยความสะดวกอย่างมากในการเข้ารถยนต์โดยไม่ใช้กุญแจจะมีด้วยกันถึง 3 ตำแหน่ง (ประตูหน้าซ้าย และขวา, และประตูท้าย) แล้วยังมีระบบการล็อคแบบ 2 ชั้นซึ่งจะเปิดประตูไม่ออกเลยถ้ามีการล็อคไว้เพียงแค่การสัมผัสเท่านั้น ถัดมาก็จอแสดงผลการขับขี่อยากจะบอกว่าในรถยนต์ prius hybrid ไม่ธรรมดาเลย เพราะตำแหน่งของมาตรวัดจะอยู่บริเวณคอนโซลหน้าตรงกลาง สามารถควบคุมและสั่งการได้อย่างง่ายดายโดยผู้ขับขี่ส่งผลให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ขออนุญาตกล่าวถึงรายละเอียดบนหน้าจอสักเล็กน้อยโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 อยู่ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่เหมือนกับรถยนต์ทั่วๆไป

กลุ่มที่ 2 อยู่ตรงกลางของมาตรวัดเลย เป็นการแสดงผลการทำงานและการขับขี่รถยนต์ไฮบริด (advance multi-display zone) ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างๆที่มากมายได้แก่

แสดงการทำงานหรือสถานะการทำงานของระบบไฮบริด (energy moniter)
แสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลือง 1 นาที/ 5 นาที (1 min/ 5 min consumption record)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ของการขับขี่ที่กำหนดไว้พร้อมแสดงผลที่ดีที่สุด (past trip fuel consumption record)
กลุ่มที่ 3 อยู่ทางด้านขวามือของมาตรวัดเป็นการแสดงข้อมูลการขับขี่ทั่วไปและข้อมูลการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆได้โดยเพียงสัมผัสเพียงเบาๆเท่านั้นที่สวิทซ์ที่พวงมาลัย

ดังนั้นข้อมูลที่ต้องการจะทราบสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมกับการที่จะเลือกสามารถกระทำได้แบบไม่ยากเย็นได้ตามความต้องการ

มาดูกันต่อที่พวงมาลัยสามารถควบคุมระบบปรับอากาศ ,ควบคุมเครื่องเสียง ,โทรศัพท์ , รวมถึงความเร็วคงที่ได้โดยสะดวกสำหรับผู้ขับขี่ ไม่ต้องละสายตาจากเส้นทางมากนักทำให้มีความปลอดภัยเช่นกัน สิ่งอำนวยความสะดวกอีกชิ้นหนึ่งคือ สามารถเลือกระบบของการขับขี่ได้แบบ 3 ฟังก์ชั่น (power , eco , ev mode) ได้ตามความต้องการของท่าน ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการแสดงผลการขับขี่แบบอัจฉริยะบนกระจกบังลมหน้า HUD (hand-up display) ได้แก่ ความเร็วรถยนต์, และแสดงผลการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(hybrid system indicator)ทางด้านความบันเทิง ในส่วนของเครื่องเสียง ในรุ่น top จะเป็นแบบ 6cd และ 1cd ในรุ่นรอง ลำโพงทั้งหมดที่มีให้ก็ 8 ลำโพง ควบคุมการทำงานได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีระบบที่รองรับในอนาคตอีกด้วย ทางด้านการเชื่อมต่อ Bluetooth ผ่านทางเครื่องเสียงก็สามารถกระทำได้เช่นกัน

มาดูทางด้านความปลอดภัยกันบ้าง เริ่มด้วยไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ไฟท้ายแบบ LED เลนส์ใส นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่เหนือระดับ คือ หากมีการเบรกแบบกะทันหันไฟเบรกท้ายจะกระพริบ ส่วนระบบ ABS EBD VSC TRC ก็ให้มาอย่างครบชุด ถุงลมนิรภัยรอบคัน ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง อยู่ที่คู่หน้า ด้านข้าง ผ้าม่านด้านข้างและหัวเข่าผู้ขับขี่ ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้ายังมีระบบที่ช่วยลดการกระแทก ระบบป้องกันการโจรกรรม TDS และ immobilizer ยังไม่พอ ยังมีระบบล็อค 2 ชั้นอีกต่างหาก โครงสร้างตัวถังแบบ GOA อันลือชื่อจากโตโยต้า

ในเรื่องของสีที่มีให้เลือก ได้แก่

1. Blackish mica

2. HV Blue

3. Silver Metallic

4. Black

5. White Pearl เฉพาะรุ่น top เท่านั้น

ทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในรถยนต์ prius hybrid ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
ดังนั้น จึงเรียนเชิญมาสัมผัสกับตัวรถจริง ที่ตัวแทนจำหน่ายโตโยต้า ทั่วประเทศหรือ สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ www.toyotabuzz.com หรือ ฝากข้อความำถามไว้ที่ Facebook ของพวกเราชาวบัสส์
MKT Team
นอกเหนือจากเรื่องของการขายแล้วค่ายรถยนต์แต่ละค่ายต่างมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมเพื่อสังคม เช่นเดียวกับค่ายยักษ์ใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้ริเริ่มดำเนินโครงการถนนสีขาว ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2531 โดยได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี เพื่อมุ่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับกฎและวินัยจราจร และสร้างความตระหนักให้ผู้ใช้รถ ใช้ถนน มีจิตสำนึก และมีน้ำใจ อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักอย่างหนึ่งของบริษัทฯ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการดำเนินโครงการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน
เมื่อไม่นานมานี้นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 องค์กรภาครัฐ ได้แก่นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดี กรมการขนส่งทางบก ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. ปัญญา แก้วกียูร ที่ปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจโท ดนัยธร วงศ์ไทย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนน สู่ทศวรรษแห่งความปลอดภัย สนองนโยบายภาครัฐ ภายใต้แนวคิด “วินัยและน้ำใจ บนท้องถนน”
นายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 48 ปี ที่โตโยต้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรที่ดี พร้อมด้วยจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคมไทย ถือเป็นพันธกิจหลักของโตโยต้า ที่ต้องการเติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยในทุกๆ ด้าน อาทิ ความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเราดำเนินการภายใต้โครงการถนนสีขาว พร้อมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการศึกษาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาการอย่างยั่งยืนของสังคมและชุมชน
โครงการความร่วมมือรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนกับ 4 หน่วยงานภาครัฐได้แก่

• โครงการให้รางวัลคนทำดี “ขับรถดีมีวินัย มีน้ำใจบนท้องถนน” ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก และ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ

• โครงการอบรมครูและผลิตสื่อการสอนด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

• โครงการประกวดแผน และภาพยนตร์รณรงค์ ภายใต้แนวคิด “ถนนแห่งน้ำใจ ถนนแห่งความปลอดภัย”ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

• โครงการผลิตสื่อการสอน “ด้านวินัยจราจร” แก่ประชาชน ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กองบังคับการตำรวจจราจร

• โครงการผลิตสื่อ “การขับรถดี มีน้ำใจ” แก่ประชาชน ร่วมมือกับ กรมการขนส่งทางบก
นายทานาดะ กล่าวต่อไปว่า “การลงนามความร่วมมือรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่โตโยต้าจะดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ที่บูรณาการทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการร่วมวางนโยบายและแผนการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมหามาตรการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยการปลูกจิตสำนึกด้านวินัย และมีน้ำใจบนท้องถนน จนเกิดพฤติกรรมในการ ใช้รถใช้ถนน อย่างปลอดภัย อันนำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนสืบไป”
MKT Team
พริอุส ไฮบริด ราคายั่วใจ เคาะขายเริ่มที่ 1.19 ล้าน (มีvdo)

ภายนอกมีความโดดเด่น ไฟหน้าแบบ LED มีระบบทำความสะอาดไฟหน้า ด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดแบบพับซ่อนเก็บได้ ส่วนไฟท้ายใช้หลอด LED เพื่อความสว่าง ชัดเจน เช่นกัน ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว น้ำหนักเบา ภายในหรูหรา เบาะนั่งออกแบบพิเศษ สะดวกสบายด้วยระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) และ ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start)

พร้อมติดคั้งมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออพติตรอน แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ ทั้งโหมดการทำงานระบบไฮบริด โหมดแสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโหมดแสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายในการขับและโดยสารอย่างครบครัน

ระบบเครื่องยนต์ Atkinson Cycle รหัส 2ZR - FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว VVT-I ขนาด 1,797 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR(Exhaust Gas Recirculation) ติดตั้งระบบระบายความร้อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่รองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้น โดยให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร โดยทำงานควบคู่กับเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบคันเกียร์ที่กลับคืนสู่ตำแหน่งกลางโดยอัตโนมัติทุกครั้งหลังการเข้าเกียร์ เพิ่มความสะดวก ส่วนแบตเตอรีแบบ Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) น้ำหนักเบา ทนทานยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากนี้ยังติดตั้งโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ คือ ขับขี่ทรงพลัง โหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน และการขับขี่เงียบสนิท ขณะที่ความปลอดภัยมีมาครบครัน

พริอุส ไฮบริด มีให้เลือก 2 รุ่นคือ ขนาด 1.8L Standard ราคา 1.19 ล้านบาท 1.8L Top 1.26 ล้านบาท ส่วนตัวท็อปสีขาวมุก ราคา 1.27 ล้านบาท โดยโตโยต้าพร้อมเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และเริ่มจัดแสดงในโชว์รูมโตโยต้า 320 แห่งทั่วไทยตั้งแต่ 1 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป

ภาพ/วิดีโอ

http://www.ecareasy.com/show_colum_detail.php?news_id=1389&news_colums=10
MKT Team
มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงข่าวถึงความพร้อมสำหรับการผลิตและจำหน่าย “โตโยต้า พริอุส” ในประเทศไทย เมื่อวันที่
21 ตุลาคม 2553 ที่ ห้องคริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

โตโยต้า พริอุส เมื่อปี พ.ศ.2508 ก่อนที่ประชาคมโลกจะให้ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเหมือนเช่นปัจจุบันนั้นโตโยต้าได้เริ่มพัฒนาระบบไฮบริด และเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีในการทุ่มเทวิจัยพัฒนา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 โตโยต้าจึงได้ผลิตรถยนต์ไฮบริดออกจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นรุ่นแรกของโลก จากนั้นในปี พ.ศ. 2546 โตโยต้า พริอุส รุ่นที่ 2 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี ไฮบริด ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ได้ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี และในปี พ.ศ.2552 โตโยต้า พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 ได้รับการแนะนำอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

มร.เคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “โตโยต้า มีพันธกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบ ที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงปรัชญาของโตโยต้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้แนะนำ คัมรี ไฮบริด เป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียและประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างอบอุ่น โดยจะมียอดขายบรรลุ 10,000 คัน ภายในเดือนนี้ และเราพร้อมที่จะแนะนำรถยนต์ไฮบริด อีกรุ่นหนึ่ง นั่นคือ พริอุส กับลูกค้าชาวไทย และประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 3 ของโลก ที่จะทำการผลิตพริอุส ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้“

“พริอุสนั้น เป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลกที่ผลิตเพื่อการจำหน่าย หลังจากใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดมาเป็นเวลากว่า 30ปี และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก โดยมีจำหน่ายใน 70 ประเทศทั่วโลก มียอดขายสะสมกว่า 2 ล้านคัน สำหรับรถยนต์
พริอุส รุ่นนี้ เป็น เจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยเริ่มแนะนำสู่ตลาดเมื่อเดือน พฤษภาคม ปี 2009 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น ด้วยยอดจองในช่วง 2 เดือนแรก กว่า 100,000 คัน และจนถึงขณะนี้ พริอุส เจนเนอเรชั่นที่ 3 นี้ มียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกกว่า 710,000 คัน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวของ พริอุส สามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า โตโยต้า พริอุส เป็นยนตรกรรมที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นล้ำสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สมรรถนะในการขับขี่ที่สนุกสนาน ตลอดจนคุณภาพ ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าทั่วโลก และผมมั่นใจว่า ลูกค้าชาวไทย ก็รอคอยการมาของ พริอุส เช่นกัน”

มร. ทานาดะ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โตโยต้า พริอุส เจเนเรชั่นที่ 3 นี้จะทำการผลิตที่โรงงานโตโยต้า เกตเวย์ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ วิศวกรของเรา และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและทดสอบคุณภาพของพริอุสให้เหมาะสมกับประเทศไทย อย่างละเอียดถี่ถ้วน ในทุกสภาพการใช้งาน ทุกสภาพอากาศ และทุกสภาพภูมิประเทศ เพื่อความมั่นใจสูงสุด ผมเชื่อมั่นว่า พริอุส ที่จะแนะนำสู่ตลาดในครั้งนี้ จะมีความสมบูรณ์ และเหมาะสมกับตลาดเมืองไทยมากที่สุด”

“พริอุสนั้น ขับเคลื่อนด้วยระบบ Hybrid Synergy Drive โดยใช้
เครื่องยนต์แก๊สโซลีนแบบ Atkinson ขนาด 1,800 ซีซี ให้สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผมถือโอกาสนี้ขอบคุณภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญของรถยนต์ประเภทนี้ โดยให้การสนับสนุน ทั้งภาษีสรรพสามิต และภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญของระบบไฮบริด ทั้งนี้ การสนับสนุนดังกล่าวเป็นผลดีต่อราคาของพริอุส ทำให้ลูกค้าชาวไทยมีโอกาสได้ใช้รถยนต์พริอุส ในราคาประมาณ 1 ล้าน 3 แสนบาท ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 16 พฤศจิกายน และจะเปิดตัวต่อสาธารณชนในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โปที่จะถึงนี้” มร.ทานาดะ กล่าวในที่สุด

7 รางวัลเกียรติยศ สำหรับ โตโยต้า พริอุส ปี 1997-98 รางวัล Car of the year ประเทศญี่ปุ่น
ปี 1999 รางวัล ECO-Mission’99 North America
ปี 2004 รางวัล Motor Trend Car of the Year
รางวัล Car of the year ของทวีปอเมริกาเหนือ
ปี 2005 รางวัล Car of the year ของทวีปยุโรป
ปี 2006 Winner of ECO Challenge
ปี 2008 รางวัล JD Power “Most Dependable Compact Car”

ยอดขาย โตโยต้า พริอุส ทั่วโลก เจนเนอเรชั่นที่ 1 120,000 คัน
เจนเนอเรชั่นที่ 2 1,180,000 คัน
MKT Team
โช้กอัพ (Shock Absorber)เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อรถสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะรถวิ่ง ทั้งยังดูดซับการสั่นของสปริง ทำให้การเด้ง ขึ้น-ลง หรือการเต้นของตัวรถยนต์ ลดน้อยลงทำให้การสั่น หรือการเต้นของน้ำหนัก ที่สปริงไม่ได้รองรับ เช่น ล้อ, เพลาล้อ, ตัวห้ามล้อ ฯลฯ ลดน้อยลง

โช้กอัพ แบ่งตามสื่อการทำงานได้ 2 ระบบ คือ โช้กอัพน้ำมัน โช้กอัพชนิดนี้ใช้น้ำมันไฮดรอลิกเป็นตัวทำงานให้เกิดความหนืดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิกจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบจึงทำให้เกิดฟองอากาศทำให้โช้กอัพทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง

โช้กอัพแก๊ส คือ โช้กอัพที่อาศัยการทำงานร่วมกัน ระหว่างแก๊สไนโตรเจน และ น้ำมันไฮดรอลิก มีหลักการทำงานคือ เมื่อโช้กอัพได้รับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ลูกสูบของโช้กอัพจะเลื่อนตัวลงมาด้านล่างของกระบอกลูกสูบ ทำให้น้ำมันไฮดรอลิกที่บรรจุในกระบอกสูบไหลผ่านวาล์วขึ้นไปห้องน้ำมันด้านบน และน้ำมันอีกส่วนไหลผ่านวาลว์ ด้านล่างเข้าไปในห้องน้ำมันสำรอง ขณะเดียวกัน น้ำมันในห้องน้ำมันสำรอง จะทำการอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน เมื่อแก๊สมีแรงดันก็จะดันน้ำมันไฮโดรลิกที่อยู่ในห้องน้ำมันสำรอง กลับเข้าสู่กระบอกสูบดังเดิม โดยในขณะเดียวกันแรงดันที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ฟองอากาศแตกตัว

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรทราบก็คือ จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของคุณควรเปลี่ยนโช้กอัพ?. สังเกตง่ายๆเมื่อรถมีอาการเต้นหรือกระโดดขึ้นลงเมื่อขับรถผ่านทางขรุขระโดยทดสอบอย่างง่ายๆ ให้ท่านเหยียบบนกันชนและขย่มหลายๆ ครั้ง หลังจากปล่อยเท้าออกแล้ว ถ้ารถยังเต้นขึ้นลงต่อไปแสดงว่าโช้กอัพเสียหรือเป็นโช้กอัพไม่ได้มาตรฐาน

การติดตั้ง “โช้กอัพใหม่” ไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพการทำงานของโช้คอัพจะเต็ม 100% เสมอไป หากผู้ติดตั้งไม่ได้ทำการเช็กโช้กอัพให้พร้อมก่อนการติดตั้ง มักจะเกิดปัญหาตามมา รวมถึงอายุการใช้งานของโช้กอัพก็จะสั้นกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย สาเหตุอาจเกิดจากโช้กอัพดังกล่าวเป็นโช้กอัพประเภทโช้คแก๊ส 2 กระบอก (Twin Tube) ซึ่งหากเป็นโช้กที่สมบูรณ์จากโรงงาน “แก๊ส” จะต้องอยู่ในโช้กอัพกระบอกที่ 2 (Reserve Tube) แต่ความผิดปกติเกิดจากการที่แก๊สหลุดเข้าไปอยู่ในกระบอกแรก ทำให้โช้กอัพเสียแรงเสียดทาน ดังนั้นเมื่อลูกสูบโช้กสัมผัสแก๊สส่งผลให้การเคลื่อนที่ของแกนโช้กผิดปกติ

ที่สำคัญก็คือการ “เช็กความสมบูรณ์ของโช้กอัพ” ก่อนการติดตั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานของโช้กอัพเต็ม 100% ด้วยวิธีง่ายๆ และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งช่างผู้ติดตั้งสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆ ช่วย การเช็คความสมบูรณ์ของโช้คอัพก่อนการติดตั้ง ดังภาพประกอบที่ 1 จะเริ่มจาก

• วางโช้กอัพในลักษณะตั้งขึ้น เหมือนการติดตั้งในรถ
• กดโช้กอัพลงให้สุด และปล่อยให้แกนโช้คเคลื่อนตัวขึ้น
• หากมีช่วงในการกดและคืนตัวที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น มีอาการวืดในบางช่วง ให้สันนิษฐานว่ามีอากาศอยู่ภายในกระบอกโช้ก

เมื่อพบความผิดปกติของโช้กอัพก่อนการติดตั้งก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้
•คว่ำโช้กลง และกดให้แกนโช้กเข้าไปในกระบอกโช้กจนสุด
• หงายโช้กขึ้นในลักษณะเหมือนการติดตั้งปกติ
• ปล่อยแกนโช้กให้ขึ้นมาด้วยแรงดันภายในกระบอกโช้กตามปกติ

ทำซ้ำขั้นตอนประมาณ 3 ครั้ง หรือสามารถสังเกตการเคลื่อนตัวของแกนโช้กให้เคลื่อนตัวขึ้นอย่างราบเรียบ เท่านี้ก็สามารถนำโช้กอัพไปติดตั้งได้แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นช่างก็สามารถจดจำวิธีการนี้ ไปแนะนำกับช่างเพื่อทดสอบความละเอียดรอบคอบของช่าง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง
MKT Team
การขับรถยนต์ให้ปลอดภัย นอกจากผู้ขับต้องมีความชำนาญแล้ว ท่าทางในการขับก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญว่าจะเพิ่มหรือ
ลดประสิทธิภาพในการควบคุมรถยนต์ และทัศนวิสัยในการขับ ผู้ขับหลายคนปรับเบาะได้ถูกต้องแล้ว แต่พยายามโยกตัวมาด้านหน้า เพื่อให้มองเห็นปลายของฝากระโปรงหน้า บางคนชอบปรับเบาะให้เอนมากๆ แล้วชะโงกตัวขึ้นมาโหนพวงมาลัยแผ่นหลังจึงไม่สัมผัสพนักพิงอย่างเต็มที่ ทำให้สูญเสียความฉับไวและความแม่นยำในการควบคุมรถยนต์

การปรับตำแหน่งเบาะ ส่วนใหญ่ปรับได้อย่างน้อย 3 จุด คือ
ระยะของเบาะนั่ง มุมเอียงของพนักพิงและระดับสูง-ต่ำของหมอนรองศีรษะ
ส่วนการปรับระดับสูง-ต่ำของเบาะนั่งหรือมุมเอียงของหมอนศีรษะ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับได้จนเหมาะสมมากขึ้น
การปรับเบาะนั่งให้ได้ระยะที่เหมาะสม สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดาทำได้โดยใช้ฝ่าเท้าซ้ายเหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด
(ไม่ควรใช้ปลายเท้าเหยียบคลัตช์) จากนั้นเลื่อนเบาะให้หัวเข่าซ้ายงอเล็กน้อย

สำหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งไม่มีแป้นคลัตช์ ให้ใช้เท้าซ้ายเหยียบลงบนแป้นพักเท้าหรือพื้นรถยนต์ และใช้ฝ่าเท้าขวาเหยียบแป้นเบรกจนสุดไว้ จากนั้นเลื่อนเบาะนั่งให้หัวเข่าขวางอเล็กน้อย สาเหตุที่ต้องปรับให้หัวเข่ายังงอขณะเหยียบเบรกจนสุด ก็เพื่อไม่ให้ร่างกายรับแรงกระแทกหากเกิดการชน แรงกระแทกจากแป้นเบรกจะดันเข้ามา หัวเข่าที่งออยู่แล้วก็จะสบัดขึ้น ช่วยลดแรงกระแทก แต่ถ้าปรับเบาะไว้ห่างเกินไป จนต้องเหยียบขาตึงเวลาเหยียบเบรก เพราะเมื่อเกิดการชน ขาที่เหยียดตรงจะรับแรงกระแทกเข้ามายังสะโพกแบบเต็มๆ

การปรับมุมเอียงของพนักพิง แผ่นหลังแนบกับเบาะ ให้ใช้มือซ้าย-ขวา จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา (หรือ 10 และ 2 นาฬิกา) และปรับตำแหน่งพนักพิง กระทั่งข้อศอกทั้ง 2 ข้างหย่อนเล็กน้อย แล้วลองเลื่อนมือไปจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 12 นาฬิกา แขนต้องยังไม่ตึง โดยไม่ต้องโยกตัวขึ้นมา หรือแบมือพาดลงไปด้านบนสุดของวงพวงมาลัย ต้องอยู่บริเวณข้อมือจึงจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการขับมากที่สุด

การนั่งห่างหรือปรับพนักพิงเอนมากไป ทำให้ต้องมีการโยกลำตัวขึ้น-ลงในบางจังหวะที่หมุนพวงมาลัย ทำให้ขาดความฉับไว และการทิ้งน้ำหนักที่ผิดอาจทำให้กระดูกสันหลังมีปัญาหาในระยะยาวได้ การนั่งชิดพวงมาลัยเกินไป อาจเกิดจากความต้องการมองด้านหน้าสุดของฝากระโปรงหน้า เพราะกลัวจะกะระยะไม่ถูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะด้านหน้าของรถยนต์ยุคใหม่มักงุ้มต่ำ บางรุ่นต้องชะโงกแบบสุดๆ ถึงจะเห็น

ดังนั้นควรใช้วิธีกะระยะเอาเองดีกว่า ข้อศอกที่งอมากเกินไป ก็ชิดลำตัว ทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่คล่อง อีก 2 ประเด็น ที่สำคัญคือ การนั่งชิดพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แม้คาดเข็มขัดนิรภัยก็ยังเสี่ยงต่อการอัดเข้ากับพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะเข็มขัดนิรภัยอาจรั้งได้ไม่ทัน
MKT Team
พอจะได้ยินเสียงไดสตาร์ตและการหมุนของเครื่อง แต่เป็นการหมุนช้าๆ อืดๆอาการนี้มักจะมีปัญหามาจากแบตเตอรีไฟอ่อน ทั้งแบตฯ เสื่อม หรือไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาหาที่ตัวเครื่อง

อาการเสียแบบนี้ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นและเข้าเกียร์ 2 ถอนคลัตช์ กระตุกติดเครื่องได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติก็สามารถพ่วงแบตเตอรีจากภายนอก เพื่อสตาร์ตเครื่องให้ติดได้

เมื่อเครื่องทำงานแล้ว ให้ดูไฟรูปแบตเตอรีที่หน้าปัด ว่าสว่างหรือเรื่อๆ หรือไม่ ถ้ามี แสดงว่าระบบไดชาร์จไม่ปกติ ใช้แต่ไฟจากแบตฯ ีจนอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่นานเครื่องก็๋จะดับ ถ้าจะขับให้ได้

ไกลหน่อย ก็ต้องหาแบตที่มีไฟมากๆ มาใส่หรือพ่วงไว้แต่ถ้าไฟรูปแบตเตอรีไม่สว่าง แสดงว่าการชาร์จไฟปกติ ถึงแบตฯ จะเสื่อม แต่ถ้าไม่ทำให้เครื่องดับ ก็สามารถขับไปได้เรื่อยๆ

++ บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเร็วด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ทำงานเอง++

อาการนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า แบตเตอรีเสียหรือไดสตาร์ตเสีย เตรียมหาแบตฯ มาพ่วง ทั้งที่ความจริง แบตฯ และไดสตาร์ตเป็นปกติ เพราะเมื่อบิดกุญแจแล้ว เครื่องหมุนได้เร็วด้วยไดสตาร์ต

แต่เครื่องไม่สามารถทำงานได้เอง เมื่อปล่อยการบิดกุญแจเครื่องก็หยุดหมุนปัญหาอยู่ที่ตัวเครื่อง เพราะแบตฯและไดสตาร์ตปกติดี ไม่ต้องเข้นกระตุกหรือหาแบตฯมาพ่วง ให้ตรวจสอบที่ตัว

เครื่องยนต์ เช่น มีไฟมีเลี้ยงระบบหรือไม่ ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานดีหรือเปล่า ฯลฯ โดยต้องตรวจสอบระบบต่างๆ ของเครื่องเพื่อหาปัญหาที่แท้จริงอาการนี้ มีแนวโน้มจะซ่อมในพื้นที่ซึ่งรถ

จอดเสียได้ยากกว่า 2 อาการแรก ที่ถ้าทำให้เครื่องหมุนได้เครื่องก็ทำงานเองได้ และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบชั่วคราวได้ง่าย

แค่กระตุกรถหรือพ่วงแบตเตอรีก็น่าจะไปได้เครื่องหมุนจี๋ด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ทำงานเอง เป็นปัญหาที่เครื่อง ไม่เกี่ยวกับไดสตาร์ตและแบตฯ หลายกรณีที่พบ อาจไม่สามารถซ่อม

บริเวณที่รถจอดอยู่ได้อย่างสะดวก ต้องยกหรือลากรถไปซ่อมต่อไป

++ อาการเครื่องไม่ติด ตั้งสติค่อยๆ ดูว่าอาการจริงเป็นเช่นไร เพื่อบอกช่างหรือคนที่มาช่วยได้ละเอียด เพราะอาจไม่ใช่ปัญหาจากแบตหรือไดสตาร์ตผิดปกติเสมอไป ++
MKT Team
หลังน้ำลด ปัญหาหลายอย่างใช่ว่าจะไหลตามน้ำไป ร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สิน คงต้องใช้เวลาฟื้นฟู ในส่วนของรถยนต์ที่เป็นเหมือนเพื่อนตายของรัก ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยไว้นานพวกอุปกรณ์ทางเทคนิค และไม่ใช่เทคนิคก็มีโอกาสเน่า และทำให้ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมยาก
การดูแลรถยนต์ที่โดนน้ำท่วมห้องเครื่อง หรือสูงมิดคัน (เพราะถ้าต่ำกว่านั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก แต่ก็จำเป็นต้องนำรถเข้าไปเช็คที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกเช่นกัน
1.พึงเอาไว้ว่าอย่าทำการสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจให้ไฟออนโดยเด็ดขาด จากนั้นเดินไปเปิดฝากระโปรงรถและปลดขั้วแบตเตอรี่ทันที โดยจะปลดขั้วใดขั้วหนึ่งหรือจะปลดทั้ง ขั้วบวกขั้วลบก็ได้ (จริงๆถ้าคุณคาดว่าน้ำจะท่วมสูงถึงห้องเครื่องให้เตรียมปลดขั้วแบตเตอรี่ เอาไว้ล่วงหน้าก่อนจะเป็นการดีที่สุด) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟเข้าไปเลี้ยงระบบต่างๆของรถ รวมถึงเครื่องยนต์

2.เปิดประตูออกทุกบาน ให้ลมโกรก หรือถ้ามีแดดให้จอดตากแดด จากนั้นถอดเบาะนั่ง พรม ผ้าต่างๆ ที่อยู่ภายในรถออกมาซักทันที เพราะถ้าทิ้งเอาไว้นาน ความเหม็นอับจะมาเยือน

3.เริ่มเข้าสู่กระบวนการทางเทคนิคที่พอจะทำได้เอง คือ ปลดทุกอย่างที่เป็นขั้วไฟฟ้า โดยเฉพาะขั้วสายไฟภายในห้องเครื่อง ทั้งตัว ECUและ รีเรย์ต่างๆ จากนั้นฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น หรือใช้ไดร์เป่าผม เป่าให้แห้ง

4.ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ (ต้องรีบเอาน้ำออกจากระบบให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันสนิมจับ) รวมถึงเปลี่ยนกรองอากาศ ซึ่งประเด็นนี้ใครทำเองได้ก็ทำเลย เพราะยิ่งจัดการเร็วโอกาสที่สนิมจะมาเยือนก็น้อยตามไปด้วย แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ซึ่งจะมีขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายที่ถูกต้องและละเอียดมาก

...ทั้งหมดเป็นวิธีการดูแลเบื้องต้น เพราะสุดท้ายแล้วรถโดนน้ำท่วมขนาดนี้ ต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมที่สะดวกทันที ซึ่งน่าจะดีกว่าถ้าเลือกใช้บริการจากรถยก และขอย้ำว่าห้ามสตาร์ทเครื่องโดยเด็ดขาด

อย่างไรก็ตามการที่รถสุดรักของคุณจะฟื้นกลับมาดีดั่งเดิมได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับเวลาที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือความสามารถในการนำกลับมาดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเภทของรถ กล่าวคือถ้ารถยิ่งมีระบบไฟฟ้าซับซ้อน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากตามไปด้วย
ถ้ารถจมบาดาลอยู่ 1-2 วัน โอกาสแก้สภาพกลับมาเหมือนเดิมได้เกิน 90% แต่ถ้านานกว่านั้น ECUเข้าขั้นโคม่า ชิ้นส่วนไฟฟ้าต่างๆจะโดนความชื้น สนิมเริ่มกิน รวมถึงขี้เกลือต่างๆเริ่มจับตัว ดังนั้นเปอร์เซ็นที่จะคืนสภาพก็จะลดลงตามวันเวลาที่แช่น้ำ

ในส่วนของราคาค่าซ่อม ขึ้นอยู่กับสภาพการและประเภทรถตามที่กล่าวไปข้างบน และน่าจะอยู่ระดับ 50,000-100,000 บาท (แต่ถ้าโอเวอร์ฮอล์เกินนี้แน่นอน) ซึ่งใครทำประกันภัยชั้นหนึ่ง หรือมีกรมธรรม์ครอบคลุมอุทกภัยเอาไว้น่าจะใจชื้นได้บ้าง

แหล่งที่มา http://www.manager.co.th
MKT Team
การขับรถบนถนนเปียก หรือขับรถลุยแอ่งน้ำตื้นๆ แล้วเกิดอาการลื่นไถล หรือดึงแถเอียงไปข้าง รวมถึงอาการหนักถึงขั้นหมุน คนส่วนใหญ่ทราบดีว่า เมื่อถนนเปียกจะลื่นกว่าถนนแห้ง แต่มักไม่ได้มองลึกถึงต้นเหตุที่แท้จริง คือ อาการเหินน้ำ (HYDROPLAINING)

++หน้าสัมผัสของยาง ต้องกดแนบพื้น จึงจะยึดเกาะ++
เป็นหลักการพื้นฐานง่ายๆ ว่า ยางรถจะเกาะถนนได้ด้วยหน้าสัมผัสที่กดแนบกัน และไม่ได้แค่แนบธรรมดา แต่เป็นเหมือนเฟืองยางนิ่มถี่ๆ ที่ถูกแรงกดแต่ละล้อหลายร้อยกิโลกรัม ให้แทรกตัวลงบนพื้นถนนที่เป็นเหมือนเฟืองแข็งไร้ระเบียบ ไม่ได้เรียบแบบกระจก ไม่ได้แนบกันเหมือนกับเอาฝ่ามือแนบกับกระจก ลองนึกภาพตามว่ายางกับถนน จะคล้ายกับคนใส่รองเท้าแตะฟองน้ำเดินอยู่บนผิวยางมะตอยหรือคอนกรีตผิวหยาบ หน้าสัมผัสของหน้ายางที่ถูกกดลงบนผิวถนน ทำให้เกิดแรงเสียดทานและนั่นคือ การเกาะถนน ยิ่งมีหน้าสัมผัสมากยิ่งดี แต่ก็ต้องเหมาะสมกับประเภทของรถและลักษณะการใช้งาน ไม่ใช่รถคันเล็กใช้งานทั่วไป แต่ใส่ยางหน้ากว้างมากๆ

การ ใส่ยางหน้าสัมผัสกว้าง แม้จะมีพื้นที่สัมผัสกับพื้นโดยรวมใกล้เคียงกับยางหน้าแคบ เพราะน้ำหนักกดลงในแต่ละล้อเท่าเดิม ยางที่กลวงและมีแรงดันลมภายใน จะพยายามทำให้ยางมีหน้าสัมผัสโดยรวมใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะใส่ยางหน้ากว้างหรือแคบ หากแรงดันลมยางและน้ำหนักที่กดลงเท่าเดิมแต่ยางหน้ากว้าง จะมีการเฉลี่ยแรงกดในหน้าสัมผัสแต่ละตารางมิลลิเมตรได้ใกล้เคียงกันกว่าหน้า แคบที่มีแรงกดต่อหน่วยพื้นที่มากๆ เฉพาะในช่วงกลางของหน้าสัมผัส ยางหน้ากว้างจะมีการเฉลี่ยแรงกดในแต่ละหน่วยพื้นที่ได้ดี ทำให้เกาะถนนดีเมื่อรถแล่น เพราะเฟืองยางนิ่มๆ (ที่มองไม่เห็น) จะหลุดออกจากหน้ายางได้ยากกว่าการ เกาะถนน เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อยางมีหน้าสัมผัสกับพื้น เฟืองยางถี่ๆ ไม่ถูกปั่นหรือไถลจนหลุด ส่วนร่องยางหรือดอกยาง มีไว้เพื่อรีดน้ำหรือให้น้ำแทรกตัวเข้าไปอยู่ได้ชั่วคราว แล้วไล่ออกไปได้บางส่วน การที่บอกว่ายางไร้ดอกหรือยางหัวโล้นจะไม่เกาะถนน ต้องเน้นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นบนถนนเปียก ส่วนบนถนนเรียบแห้งจะเกาะถนนดีกว่ายางมีดอก อย่างเช่นรถแข่งทางเรียบใช้กันและเรียกยางไร้ดอกว่า ยางสลิก

++ อาการเหินน้ำ++

ชื่อไม่ค่อยคุ้น เรียกไม่ง่ายนัก แต่ถ้านึกภาพตามจะเข้าใจได้ง่าย คนส่วนใหญ่ทราบว่า เมื่อพื้นเปียกจะลื่น แต่ไม่ค่อยเข้าใจถึงการอาการเหินน้ำซึ่งเป็นต้นเหตุของการลื่น และถึงรถจะไม่มีอาการลื่นอย่างชัดเจน ขณะที่ยางหมุนผ่านพื้นเปียก ก็เกิดอาการเหินน้ำขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะหน้าสัมผัสย่อมไม่เต็มร้อยแบบพื้นแห้ง การลื่นของคนเดินบนพื้น กับการลื่นของยางรถขณะรถแล่นไป คล้ายกันแค่บางส่วน แต่จริงๆ แล้วต่างกัน คล้ายกันตรงที่จะเกิดการยึดเกาะได้ก็ต่อเมื่อมีหน้าสัมผัสกับพื้นโดยไม่มี น้ำคั่น แตกต่างกันที่รองเท้าเป็นการกดลงจากด้านบน แต่ยางรถเป็นการหมุนไล่ไปเรื่อยๆ

อาการลื่นเมื่อพื้นเปียก เกิดขึ้นจากการมีชั้นหรือฟิล์มของน้ำอยู่บนผิวของพื้นแล้วหน้าสัมผัสที่กดลง ไป ไม่สามารถกดหรือกระแทกไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสได้ทั้งหมด กลายเป็นมีฟิล์มน้ำแทรกอยู่ระหว่างกลาง ยิ่งมีน้ำแทรกอยู่ระหว่างกันเป็นพื้นที่มากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดอาการลื่นมาก ยางที่หมุนไปบนพื้นเปียก ต้องพยายามกดไล่น้ำออกไปทั้งสองข้าง และน้ำบางส่วนต้องแทรกเข้าไปในร่องของดอกยางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เหลือหน้าสัมผัสใกล้เคียงตอนถนนแห้งมากที่สุด

อาการ เหินน้ำ คือ การที่ยางไม่สามารถไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสได้มากพอหรือทันท่วงที กลายเป็นอาการยางหมุนอยู่บนฟิล์มน้ำ ไม่ได้หมุนโดยการสัมผัสกับพื้น หมุนแต่หมุนลอยอยู่บนชั้นของน้ำ โดยอาการเหินน้ำไม่จำเป็นล้อเหินเต็มหน้าจนลื่นไถล แต่เหินแค่บางส่วนของหน้ายางก็ถือว่าเกิดอาการเหินน้ำแล้ว เพียงแต่ผู้ขับจะคิดว่าเมื่อไรที่ลื่นถึงจะเป็นการเหินน้ำ

หากยังงง ให้นึกภาพเปรียบเปรยกับการราดน้ำไว้บนพื้นหรือโต๊ะ เอาฝ่ามือตบลงบนน้ำ จะรู้สึกได้ว่า มือจะไม่แนบลงไปสนิทเหมือนตอนแห้งๆ ถ้าแนบนิ้วมือให้ชิดกันก็คล้ายกับยางไม่มีดอก การตบลงเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัส จะแย่กว่าการกางนิ้วมือออกจากกันเล็กน้อย ร่องระหว่างฝ่ามือที่ให้น้ำแทรกเข้าไปได้ก็คล้ายกับร่องดอกยางนั่นเอง

++อาการที่ผู้ขับรู้สึก++

ถ้าเกิดอาการเหินน้ำมาก ก็จะรู้สึกว่ารถลื่น พวงมาลัยไม่สามารถควบคุมทิศทางได้เต็มที่ หรือแย่ถึงขั้นลื่นไถล รวมถึงรถหมุนคว้างเลยก็มี ในความเป็นจริง ส่วนใหญ่เป็นอาการเหินน้ำ คือ มีชั้นของน้ำอยู่เหนือพื้น หน้าสัมผัสของยางกดลงบนพื้นได้น้อยกว่าสภาพการขับรถในขณะนั้น หน้ายางบางส่วนหรือหลายส่วนหมุนอยู่บนชั้นน้ำ ไม่ใช่บนพื้น ไม่มียางรถรุ่นใดยี่ห้อใดรีดน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ผลิตยางรถล้วนพยายามลดอาการเหินน้ำของยางให้น้อยลงในยางรุ่นใหม่ทุกรุ่น ที่ผลิตออกมา แต่ก็ไม่เคยทำให้ปลอดอาการเหินน้ำเลย ไม่ว่าจะเป็นยางรุ่นใหม่หรือโฆษณาว่ารีดน้ำดีเพียงไร ก็อย่าฝันว่าจะปลอดการเหินน้ำ ถ้าพื้นเปียกและรถแล่นอยู่ ยังไงยางก็จะรีดน้ำได้ไม่หมดสนิท ไม่ลื่นมากก็น้อย ไม่เหินน้ำมากก็น้อย ยิ่งผิวน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ทำให้ยางหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกดเพื่อไล่น้ำออกจากหน้าสัมผัสก็จะแย่ลงกว่าน้ำผิวบางและรถแล่นช้า ทำให้ยางหมุนผ่านไปช้าๆ

++สรุปง่ายๆ ว่า ยิ่งน้ำหนา ยิ่งขับรถเร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดอาการเหินน้ำมากขึ้น++

ผู้ขับรถจึงจำเป็นต้องประเมินสภาพของน้ำบนพื้นผิว กับประสิทธิภาพการรีดน้ำของยางรุ่นที่ใช้อยู่ว่า สภาพพื้นเปียกในขณะนั้นควรใช้ความเร็วเท่าไรจึงจะปลอดภัย สภาพพื้นเปียกที่น่ากลัวที่สุดคือ การเกิดอาการเหินน้ำในล้อเดียว หรือเหินน้ำไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เจอแอ่งน้ำตื้นๆ โดยไม่คาดคิด และไม่ได้เจอทุกล้อ แต่เจอแค่ล้อข้างเดียว เช่น เส้นทางโล่งตรง ผู้ขับจึงชะล่าใจใช้ความเร็วสูง ขับไปเรื่อยๆ ก็ไม่น่ากลัวอะไร เมื่อควบคุมได้ดีก็ชะล่าใจคงความเร็วนั้นไว้หรืออาจเร่งความเร็วขึ้นเล็ก น้อย หาก บังเอิญเจอแอ่งน้ำตื้นๆ ในบางล้อ ก็จะเกิดการลื่นไม่เท่ากันในแต่ละล้อ เช่น ล้อหน้าซ้ายลื่น ล้อหน้าขวาเกาะกว่า รถก็ปัดเป๋ พวงมาลัยดึงหรืออาจถึงขั้นรถหมุนเลยก็เป็นได้ อาการลื่นของยางบนถนนเปียก ต้องทำความเข้าใจกับอาการเหินน้ำใช้ความเร็วให้เหมาะกับสภาพถนน อย่าชะล่าใจ และระวังจะเจอแอ่งน้ำตื้นหรือผิวถนนมีน้ำหนาไม่เท่ากันโดยบังเอิญ ก็จะเกิดอาการดึงจะรถเสียการทรงตัวได้
MKT Team
คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆ ถึงต่างจังหวัด
มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแล
และตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงขอแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น
กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง

????? 1. สัญญาณเตือน เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ
การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็ค
และซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

??? 2. เครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
??????? – เครื่องร้อนจัดเกินไป? ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
??????? – เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
??????? – มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
???? ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

??? 3. ยาง การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
??????? – ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
??????? – ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
??????? – ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
??????? – ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
???? ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

??? 4. คลัตซ์ คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
??????? – คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท? หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
??????? – คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
??????? – แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
???? ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

???? 5. เกียร์ เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
??????? – มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
??????? – เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
??????? – มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
??????? – ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา????
???? ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

??? 6. พวงมาลัย พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
??????? – พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
??????? – พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
??????? – พวงมาลัยสั่นในขณะขับ????
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

???? 7. เบรก ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
??????? – เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
??????? – เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
??????? – แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
???? ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที

???? 8. ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง
แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควร ปล่อยทิ้งไว้
รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

??? 9. หลอดไฟ หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า ?เรกูเลเตอร์?
ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้ เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่

???? 10. น้ำมันหล่อลื่น ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่า
เครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที ถ้าอู่อยู่ไกลให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่น
ไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถ ลากไปอู่ซ่อม
ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์
MKT Team
รถชน!!!.....อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี

อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทยด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่นำมาให้อ่านกัน

1 ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์

ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม

2 ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน

สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยังสามารถพูดไ
ด้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง

3 ถ้าท่านเป็นผู้ขับ

กรณีนี้อย่าหนีเป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้
3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล
3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที
แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็น คนขับรถอะไร
3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย
3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจ
มีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด
3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท
แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4 ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที

เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี

5 ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที

นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพไว้เพราะ
จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง

6 ควรช่วยเหลือคนเจ็บ หรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต

เรื่องนี้สำคัญมากๆคนขับรถมักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ความจริงเมื่อคุณขับรถชนคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บหรือขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษทางอาญฟา

- ทางอาญา คุณอาจจะต้องรับโทษจำคุก

- ทางแพ่ง คุณจะต้องชดเชยค่าเสียหายค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับคู่กรณี หากคุณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ชนแล้วหนี ต่อมาเมื่อเรื่องถึงศาล ศาลก็จะเห็นถึงความมีน้ำใจของคุณก็อาจจะรอลงอาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณหนีศาลมักจะให้จำคุกเลยเพราะเห็นว่าคุณเป็นคนแล้งน้ำใจ การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มาก

ยกตัวอย่างเช่นถ้าไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่าไม่ให้คืนของกลางให้แก่ผู้ต้องหาจนกว่าผู้ต้องหาจะพยายามต
กลงกับผู้เสียหายและถ้าคุณยอมชดเชยค่าเสียหายและค่าทำศพให้กับผู้เสียหาย คดีแพ่งก็ระงับเพราะถือว่ายอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว

ทั้งนี้การใช้รถใช้ถนนร่วมกันให้ดีขึ้นนั้น เราทุกคนควรขับรถอย่างมีสติไม่ประมาทและมีน้ำใจให้แก่กัน เพียงเท่านี้อุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว