MKT Team

Navigator หรือ GPS ไม่ว่าจะเรียกแบบใด ขอให้เข้าใจกันเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่าคือ ระบบแผนที่นำทาง ซึ่งในปัจจุบันเราเริ่มเห็นคนหันมาใช้งานกันมากขึ้น รวมถึงเริ่มมีผู้จำหน่ายมากมายพร้อมกับการอวดอ้างสรรพคุณการใช้งานได้อย่างล้นฟ้า ทั้งที่ความจริง เรารู้หรือไม่ว่า ประโยชน์ของการใช้งานมันเป็นอย่างไร จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกร็ดความรู้บางส่วน (เพราะความรู้จริงมีเยอะมากมายเหลือคณานับ) เกี่ยวกับเจ้าเครื่องมือนำทาง แล้วดูว่าสุดท้ายมันจะเป็นแค่ของเล่นหรือจำเป็นต้องมีไว้ใช้

GPS Garmin nuvi

GPS คืออะไร ?

GPS ย่อมาจากคำว่า Global Positioning System คือระบบนำทางโดยอาศัยการระบุพิกัดตำแหน่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกจากสัญญาณดาวเทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากระบบ Global Navigation Satellite System หรือดาวเทียมสำรวจซึ่งโคจรอยู่รอบโลก

จุดกำเนิดของเจ้า จีพีเอสเกิดจากความบังเอิญของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาได้แอบติดตามการทำงานของดาวเทียมสปุตนิก ของโซเวียต ตั้งแต่เมื่อปี 1957 แล้วพบการสะท้อนกลับของคลื่นไมโครเวฟระหว่างดาวเทียมและพื้นผิวโลก แน่นอนเมื่อเรารู้ตำแหน่งบนพื้นโลก เราก็สามารถระบุตำแหน่งของดาวเทียมบน
อวกาศได้ ดังนั้นในทางกลับกันดาวเทียมก็สามารถระบุตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลกได้เช่นกัน เมื่อมันโคจรผ่านตำแหน่งนั้น

เมื่อรู้เช่นนี้จึงพัฒนาต่อมาเป็นระบบนำทางในชื่อ จีพีเอส โดยมีกองทัพเรืออเมริกานำไปใช้ทดลองนำทางเรือรบของตัวเองเป็นครั้งแรก แล้วพัฒนามาสู่การใช้งานแบบสาธารณะ

GPS How to work.

ทำงานอย่างไร ?

การทำงานของระบบจีพีเอส นั้นแสนง่ายดาย โดยเราขอทำความเข้าใจก่อนว่าจีพีเอส แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ฮาร์ดแวร์ หรือตัวเครื่องจีพีเอส และ ซอฟแวร์ หรือระบบปฏิบัติการ (เหมือนคอมพิวเตอร์)

ตัวเครื่องจะทำหน้าที่เป็นเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนระบบปฏิบัติการจะแสดงผลให้ทราบคือ เมื่อเราได้เจ้าตัวนำทาง GPS มา แค่เปิดเครื่องแล้วทำตามคำแนะนำของคู่มือ โดยแต่ละรุ่นจะมีฟังก์ชั่นการทำงานยาก-ง่าย ซับซ้อนแตกต่างกัน

ประโยชน์ของเจ้าจีพีเอส คือ ความสามารถในการระบุตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่นตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของเรา พร้อมทั้งแสดงแผนที่หรือนำทางไปยังจุดหมาย อย่างรวดเร็วโดยไม่หลงทาง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับซอฟแวร์ด้วยว่า มีข้อมูลอัพเดตเพียงไร เนื่องจากมีถนนตัดใหม่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ

นอกจากความสามารถในการระบุตำแหน่งแล้ว อนาคตระบบจีพีเอส ยังจะสามารถบอกถึงสภาพการจราจรและแนะนำเส้นทางที่โล่งให้แก่เราได้ อีกทั้งในทางทฤษฎีระบบจีพีเอสยังสามารถช่วยเราติดตามรถ หากเกิดกรณีถูกลักขโมยไป เพราะมันจะสามารถระบุตำแหน่งที่อยู่ได้อย่างชัดเจน (ให้ลองนึกถึงเวลาเครื่องบินตกแล้วมีการติดตาม หรือนาฬิกาบางยี่ห้อที่มีการนำระบบจีพีเอส นี้ติดตั้งไว้สำหรับกรณีขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน)

สำหรับฮาร์ดแวร์ มีหลายรูปแบบซึ่งพอแบ่งหลักๆ ได้เป็น 2 ชนิด แบบพอร์ตเทเบิ้ล คือพกพาไปไหนมาไหนได้ ซึ่งจะมีทั้งอยู่ในรูปแบบใช้งาน จีพีเอส อย่างเดียว เช่นยี่ห้อ การ์มิน (Garmin) ผู้นำตลาดในเมืองไทยระดับราคาตั้งแต่ 1 หมื่น-2 หมื่นกว่าบาท หรือ แบบพีดีเอ (PDA) ใช้งานได้หลากหลายทั้งโทรศัพท์เก็บข้อมูล อาทิ ยี่ห้อ อาซุส (Asus) ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท เป็นต้น

และอีกชนิดเป็น แบบ 2DIN ติดตั้งสำเร็จในรถ พร้อมระบบมัลติมิเดียครบครันวิทยุ-ซีดี-ดีวีดี เช่น ยี่ห้อ ไพรโอริตี้ และอัลไพน์ ราคาประมาณ 4 หมื่นกว่าบาทหรือติดตั้งสำเร็จรูปมากับรถยนต์ เช่นโตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่นเนวิเกเตอร์ เป็นต้น

GPS ของเล่นหรือจำเป็น

ส่วนซอฟแวร์ มีผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแผนที่ในเมืองไทยอยู่ 2 เจ้าหลัก บริษัท ซอฟต์แม็บ (Soft map) และบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ESRI) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละฮาร์ดแวร์เป็นผู้เลือกใช้ โดยเมื่อซื้อแล้วเราสามารถเข้าไปอัพเดตข้อมูลแผนที่ใหม่ๆ ได้ทุกปี หรือตามแต่เราต้องการ

ทั้งนี้อาจจะฟรีหรือต้องมีเสียค่าบริการบ้างประมาณครั้งละ 1-2 พันบาท แล้วแต่ข้อตกลงระหว่างกันของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ โดยก่อนซื้อเราสามารถสอบถามกับผู้จำหน่ายได้โดยตรงถึงการบริการตรงจุดนี้

ด้านความนิยมสอบถามจากผู้ใช้หลายท่าน ซอฟแวร์ ของ ESRI จะดูง่าย,ชัดเจนและมีรายละเอียดมากกว่า รวมถึงรูปแบบการแสดงผลหลากหลาย พร้อมทั้งเวอร์ชั่นถนนตัดใหม่อัพเดตล่าสุดตามความเป็นจริง จากการเดินสำรวจตลาดพบว่า ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ซอฟแวร์ของ ESRI จะมีราคาสูงกว่าพอสมควร

GPS ของเล่นหรือจำเป็น

จำเป็นไหม ?

เห็นประโยชน์หลายหลากของเจ้าระบบจีพีเอส แล้วหลายท่านคงนึกว่า มันต้องจำเป็นแน่นอน แต่จากการทดลองใช้ ทำให้เราพบว่า หากเป็นเส้นทางคุ้นเคยหรือรู้อยู่แล้ว เจ้าจีพีเอสไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงหากเรากำลังจะเดินทางไปในจุดที่ไม่เคยไปมา ก่อน เจ้าจีพีเอสจะมีประโยชน์อย่างมาก และจะขาดไม่ได้หากเป็นการเดินทางในถนนเปลี่ยวหรือกลางค่ำกลางคืน ไม่อาจสอบถามใครได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับซอฟแวร์อัพเดตข้อมูลถนนใหม่ๆ ครบถ้วนด้วย

ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ก่อนเดินทางไปไหนจะสอบถามและศึกษาเส้นทางจากผู้รู้อยู่แล้ว ทำไมเราต้องเสียเงินหลายพันบาทเพื่อซื้อเครื่องมือนำทางด้วย ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้แต่อย่างไร แผนที่อยู่ที่ปาก” หนึ่งเสียงสำหรับคนไทยผู้ใช้รถยนต์เดินทางเป็นประจำและไม่คิดจะใช้จีพีเอส

GPS ของเล่นหรือจำเป็น

ขณะที่อีกหนึ่งความเห็นจากผู้ที่ซื้อจีพีเอสมาใช้เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วบอกว่า “จำเป็น และมีประโยชน์มาก เพราะเราสามารถเดินทางไปได้ทุกแห่งที่อยากไป และหากเกิดปัญหาจีพีเอสก็ช่วยได้ อย่างเช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้รถยางแตกตอนกลางคืนผมก็ใช้ระบบนี้เพื่อหาร้านซ่อมว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ผิดหวัง ”

“จีพีเอสของผมซื้อมา 2 ปีแล้ว ยี่ห้อ การ์มิน ใช้ง่ายที่สุด ยิ่งเวลาเราไปต่างจังหวัด เราจะรู้ทางลัด สะดวก ประหยัดเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิง หรือถ้าเจอด่านจับความเร็ว เราก็เซ็ทเอาไว้ครั้งหน้าเวลาเดินทางมาอีกมันจะเตือนว่ามีด่านข้างหน้า ...โดยรวมถือว่าใช้คุ้มมากๆ กับราคา 1.4 หมื่นบาท(ราคาตอนที่ซื้อ) เทียบกับลำโพงชุดนึงมันคุ้มมากกว่าหลายเท่า ปัจจุบันคนเริ่มหันมาใช้แบบ PDA กันมากขึ้นเนื่องจากใช้ได้หลายแบบแถมเก็บข้อมูลมากขึ้น”

สุดท้ายสำหรับคนที่สนใจต้องลองถามตัวเองให้ ชัดเสียก่อนว่า มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร และจะใช้งานมันคุ้มค่ามากแค่ไหน แล้วคุณจะไม่เสียเงินเปล่า ?

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

MKT Team

การใช้รถยนต์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้งานในเมือง ขับไปทำงาน ส่งลูกไปโรงเรียนเท่านั้น ในบางครั้งวันหยุดสุดสัปดาห์ หรืออาจเป็นธุระในด้านอื่น มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไกลด้วยรถยนต์ของท่านเอง ท่านก็ต้องมีการเตรียมตัวที่ดีเพื่อสวัสดิภาพของท่านเองเป็นหลัก และการถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยทั้งไปและกลับ

การใช้รถทางไกลนั้นไม่ใช่จะเป็นการเตรียมเฉพาะรถเท่านั้น ผู้ขับขี่ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน มีความหมายที่ต้องควบคู่กันไป อาศัยซึ่งกันและกัน

clip_image0

ขั้นตอนในการเตรียมรถเพื่อเดินทางไกล

เตรียมรถยนต์

รถยนต์ควรได้รับการตรวจซ่อมเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่จะต้องออกเดินทางไกล ควรได้รับการตรวจเช็คก่อนเดินทางทุกครั้งเป็นดีที่สุด ถ้าได้รับการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ หรือเติมเข้าไปใหม่จะเป็นการดีอย่างยิ่ง เพราะสามารถช่วยป้องกันการสึกหรอได้เป็นอันมาก

และอีกทางหนึ่งคือช่วยประหยัดเงินในการที่จะต้องกลับมาซ่อมใหม่ในกรณีที่รถเกิดปัญหาขึ้น อีกประการหนึ่งก็คือเป็นการรับประกันความอุ่นใจจากผู้ที่ติดตามไปด้วย หรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ตาม

สำหรับสิ่งที่ต้องตรวจตราและควรมีติดรถในการเดินทางไกลคือ

  • ยาง ยางเป็นส่วนสำคัญมากในการเดินทางไกล รถที่ขับด้วยความเร็วสูงและระยะทางไกลควรใช้ยางที่มีคุณภาพดี สูบลมได้ตามมาตรฐานที่กำหนด หมั่นตรวจสอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ และสิ่งที่ลืมไม่ได้คือยางอะไหล่ ต้องมีไว้พร้อมในสภาพที่สามารถใช้งานได้ทันที
  • เบรก ระบบเบรกต่างๆ ต้องมีความสมบูรณ์และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรได้รับการตรวจเช็คก่อนออกเดินทางเช่นกัน เช่น น้ำมันเบรก จากเบรก ปั้มลมต่างๆ และควรมีน้ำมันเบรกสำรองติดเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินด้วย
  • กระจกส่องหลังและกระจกส่องข้าง ควรปรับสภาพให้สามารถใช้งานได้ คือมองเห็นรถยนต์ที่วิ่งตามมาได้อย่างชัดเจน ไม่เหลื่อมล้ำกัน
  • น้ำในหม้อน้ำ ควรเติมให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และควรมีน้ำสำรองติดตัวไปด้วยเพื่อใช้กรณีฉุกเฉิน
  • น้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่ ควรตรวจดูให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ และมีน้ำกลั่นสำรองไปด้วย
  • น้ำมันเชื้อเพลิง ประมาณให้พอที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ และควรมีการคาดคะเนล่วงหน้าว่าจะแวะเติมน้ำมันที่จุดไหนบ้าง
  • น้ำมันเครื่อง ต้องตรวจดูว่ามีอยู่ในระดับหรือไม่ ต้องเติมให้พอดี อย่าเติมให้เกิน เพราะจะทำให้น้ำมันเครื่องขึ้นหัวเทียน ทำให้หัวเทียนบอดได้ และควรจะมีสำรองไว้ด้วย
  • เครื่องมือประจำรถและอะไหล่ต่างๆ ต้องมีติดรถไว้เสมอ แม้ว่าจะไม่เดินทางไกลก็ตาม เพราะยามฉุกเฉินอาจใช้ได้ทันท่วงที
  • เครื่องมือแพทย์ เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อแก้ไขรถยนต์อาจเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยได้

ข้อควรทราบ

ควรแจ้งหมายกำหนดการให้ผู้ที่อยู่ทางด้านต้นทางและปลายทางทราบเมื่อมีการเดินทางไกล เพื่อจะได้ตรวจเช็คเมื่อเห็นว่าผิดปรกติหรือล่าช้ากว่ากำหนด เมื่อไปถึงแล้วหากเป็นไปได้ควรแจ้งให้คนทางบ้านทราบเพื่อความสบายใจ

ข้อเตือนใจ

  • อย่าไปในเส้นทางที่ท่านไม่คุ้นเคยตามลำพัง หรือไปกับคนแปลกหน้า อย่าไว้ใจคนอื่น
  • อย่าหยุดรถในสถานที่เปลี่ยวโดยไม่มีความจำเป็น
  • คนร้ายอาจแกล้งขับรถชนท้ายของท่านในสถานทีเปลี่ยว เมื่อจอดรถลงมาเจรจาค่าเสียหายอาจใช้อาวุธปล้น ฉะนั้นควรพิจารณาถึงความปลอดภัยในการหยุดรถ ควรเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยจนกว่าจะพบตำรวจ หรือแหล่งชุมชนจึงหยุดรถสำรวจความเสียหาย (หากไม่รุนแรงนัก)
  • สอบถามเส้นทางจากชาวบ้านในกรณีที่ไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย จะได้ไม่เสียเวลาย้อนรถกลับ

การขับรถเมื่อเดินทางไกล

  • การแซงรถ บางครั้งผู้ขับขี่อาจขับรถตามหลังคันอื่นเป็นระยะทางไกลๆ เพราะว่าอัตราความเร็วที่ใช้อยู่นั้นใกล้เคียงกับรถคันอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้า บางครั้งมีความจำเป็นต้องแซงหน้าขึ้นไป จึงควรจะแซงให้ถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น ตามหลักในการแซงแล้ว ก่อนจะแซงรถต้องดูให้แน่ใจว่าถนนด้านข้างว่างพอที่จะแซงหรือยัง ถ้าจะต้องการความปลอดภัยในเวลาแซงก็คือ ต้องแซงรถทางขวาเสมอ และห้ามแซงในที่คับขัน นั่นก็คือ ไม่แซงรถตรงทางแยก ไม่ควรแซงเมื่อเวลาขับรถขึ้นเนินเขาหรือลงเขา ไม่ควรแซงบนทางโค้ง และไม่ควรแซงบนสะพาน
  • การขับรถตามหลังรถคันอื่น อุบัติเหตุจำนวนมากเกิดจากการขับรถชนท้าย หรือประสานงาคันอื่น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ผู้ขับรถคันหลังขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป ในหลักการขับรถแล้ว ควรขับรถตามหลังโดยเว้นระยะห่าง 1 ช่วงคันรถ ทุกๆ ความเร็ว 10 กม./ชม. หรืออาจจะเว้นเป็น 2 เท่าก็ได้เพื่อความปลอดภัย

สำหรับอัตราการใช้ความเร็วขึ้นอยู่กับ

  1. ปริมาณการจราจรในขณะนั้น
  2. สภาพถนนและดินฟ้าอากาศ
  3. สภาพของรถ
  4. สภาพอารมณ์และร่างกายของผู้ขับขี่
  5. ระยะเวลาในการขับรถ
  6. ความเร็วของรถคันอื่นๆ ในขณะนั้น
  • การขับรถตามกฏจราจร กฏจราจรในบ้านเรามีอยู่มากมายที่บัญญัติขึ้นมาก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และสังคมโดยรวม ผู้ขับขี่ส่วนมากจะจำกฏจราจรได้เฉพาะตอนสอบใบขับขี่เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะลืมกฏจราจรต่างๆ แทบหมดสิ้นและไม่ให้ความสนใจต่อไปอีก อย่างน้อยการขับรถทางไกลควรใช้กฏจราจรให้เคร่งครัด ตลอดจนการให้สัญญาณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณมือ สัญญาณไฟ และต้องแน่ใจว่าใช้ถูกต้อง และรถคันหลังหรือหน้าสามารถเห็นสัญญาณได้อย่างชัดเจน
  • การเปลี่ยนช่องเดินรถ โดยทั่วไปผู้ขับขี่ควรขับรถอยู่ในช่องเดินรถที่มีเครื่องหมายแบ่งไว้ให้ แต่ถ้าไม่มีเส้นแบ่งช่องเดินรถเอาไว้ก็ควรจะขับรถในทางของตน ผู้ขับขี่ควรจะรู้สภาพการจราจรที่กำลังจะเกิดขึ้น และสังเกตรถคันหลังที่ตามมาด้วย ถ้าผู้ขับขี่พร้อมที่จะแซงต้องให้สัญญาล่วงหน้าก่อนเมื่อรถคันอื่นทราบความประสงค์จึงเปลี่ยนเข้าในช่องเดินรถที่ต้องการ
  • การขับรถที่ป้องกันตนเองจากอันตราย ผู้ขับขี่รถยนต์นั้นไม่ใช่แต่จะสามารถควบคุมตัวเองได้เท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และมองไปด้านหน้า ด้านหลัง (มองกระจกหลัง) และด้านข้างตลอดเวลา
  • คนเดินเท้าในทางรถวิ่งหรือไฮเวย์บางสายไม่มีทางเท้า ฉะนั้นเมื่อเห็นคนเดินเท้าจึงควรใช้แตรและลดความเร็ว เพื่อให้คนเดินอยู่ข้างทางรู้ตัว โดยมารยาทแล้วนักขับขี่รถที่ดีไม่ควรแซงรถตรงจุดที่มีคนเดินเท้าอยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืน และวันที่มีวนตกหนัก ควระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะผู้ขับขี่อาจมองไม่เป็นคนเดินเท้าได้
  • แผนที่ ถ้าผู้ขับขี่ต้องขับรถทางไกลในทางที่ยังไม่คุ้นเคย ควรจะได้รับการศึกษาแผนที่เพื่อหาทางที่จะไปได้อย่างมีจุดหมาย ไม่หลงทาง เพระแผนที่จะช่วยให้ทราบเส้นทางและลักษณะของถนน และระยะทาง ต้องคำนึงถึงเสมอว่าอย่าดูแผนที่ขณะกำลังขับรถอยู่ ควรดูก่อนเดินทาง หรือไม่ก็ให้คนอื่นที่นั่งข้างเคียงดูให้แทน

ที่มา : นิตยสารตลาดรถ Extreme ฉบับวันที่ 17 – 30 เมษายน พ.ศ. 2553

keep-car-running

MKT Team

คำถามคำตอบต่อไปนี้จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจถึงการดูแลรักษายางอย่างถูกวิธี

  1. ยางที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?

    การเติมลมยางให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายาง ยางที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนไว้ โดยปกติแล้วอัตราสูบลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิดที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตูหรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย แต่หากท่านมิได้ใช้ยางขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตรฐาน

    สำหรับยางอะไหล่ ท่านควรสูบลมไว้ให้มากกว่ามาตรฐาน 3 – 4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้งาน
  2. การใช้ลมอ่อนเกินไปจะมีผลอย่างไรต่อยางที่ใช้อยู่ ?

    การใช้ยางที่สูบลมไว้ต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสมถูกต้อง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ลมอ่อนเกินไปนั้น นับเป็นศัตรูตัวสำคัญต่ออายุการใช้งานของยางทีเดียว อีกทั้งยังจะส่งผลเสียอย่างมากต่อยางที่ใช้อยู่ ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักจะลดน้อยลงกว่ามาตรฐานและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
  3. ควรตรวจเช็คลมยางเมื่อไร ?

    ท่านควรตรวจสอบเช็คลมยางสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ กล่าวคือวิ่งมาไม่เกิน 1.5 – 2.0 กิโลเมตร เพราะขณะที่รถวิ่งนั้นความดันลมในยางจะเพิ่มขึ้นตาม อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากท่านทำการตรวจเช็คอัตราลมในขณะนั้น ก็จะได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คอัตราลมในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ หรือประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงหลังการใช้งาน

    ท่านไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางของท่านอ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากยางที่ท่านกำลังใช้อยู่เป็นยางเรเดียล ท่านควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากสร้างสรรพสินค้า หรือตามร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตรฐาน
  4. ทำไมถึงต้องมีการสลับยาง

    วัตถุประสงค์หลักของการสลับยาง ก็เพื่อให้ยางทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยาง ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่านควรสลับยางทุกๆ 9,000 – 13,000 กิโลเมตร หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ท่านควรจะสลับยางในทันทีที่ท่านใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก

    หากยางเกิดการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ ท่านควรรีบปรึกษากับร้านผู้ชำนาญงานเพื่อตรวจเช็คศูนย์ล้อ ถ่วงล้อ ตลอดจนระบบช่วงล่างโดยทันที

    โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ มักจะแนะนำให้เติมลมยางล้อหน้า และล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง
  5. ทำไมต้องมีการถ่วงล้อ

    หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางและกะทะล้อ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยาง ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักที่ถูกต้องของยาง และกะทะล้อ ซึ่งการถ่วงล้อก็สามารถกระทำได้ โดยเพิ่มน้ำหนักลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ขอบกะทะล้อ
  6. เมื่อไหร่จึงควรจะถ่วงล้อ

    ยางและกะทะล้อควรส่งเข้ารับการบริการถ่วงล้อในทันทีที่ เมื่อมีการเปลี่ยนยางใหม่เมื่อมีการสลับยาง สลับกะทะล้อ เมื่อนำยางที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่เมื่อยางแตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการถอดยางออกจากกะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง เมื่อเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ท่านควรส่งรถเข้ารับบริการถ่วงล้อจากร้านยางที่ได้มาตราฐานเท่านั้น
  7. การตั้งศูนย์ล้อคืออะไร

    การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบังคับเลี้ยวระบบช่วงล่างล้อ และยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้ตรงไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้น มีชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย ที่มีการเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมจะมีการสึกหรอเกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเป็คที่ถูกต้อง

    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเป็คของรถ นอกจากนั้น ศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนน และการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย กล่าวคือ เมื่อรถถูกใช้งานนานขึ้น คอยส์สปริง บุช ลูกยางต่างๆก็เริ่มหมดอายุ ความสูงและการกระจายน้ำหนักของรถก็ผิดไปจากมาตราฐานเดิม อันจะส่งผลให้ศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเป็ค เมื่อใดก็ตามที่ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเป็คล้อรถกับตัวถังหรือล้อข้างซ้ายกับล้อข้างขวาก็จะไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน จะเป็นผลให้รถวิ่งไม่ตรงหรือเกิดอาการแฉลบ หรือพวงมาลัยดึงไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้ยางสึกผิดปกติ
  8. ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ

    เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางเกิดการสึกที่ผิดปกติแล้วยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้น หากรถของท่านที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือท่านสังเกตุเห็นว่ายางที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถของท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ท่านจะต้องใช้ในการซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่าง และที่สำคัญคืออันตราย อันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินและชีวิตของท่าน
  9. มีคำแนะนำอย่างไร เมื่อต้องการเปลี่ยนยางชุดใหม่

    ในการเลือกยางรถยนต์สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ประเภทรถยนต์ รถยนต์หนัก รถยนต์เบา สมรรถนะความเร็วรถ ความเร็วปกติ ความเร็วสูง
    ลักษณะการขับขี่ ขับช้า ขับเร็ว หรือขับเร็วมาก สภาพพื้นผิวถนน ถนนเรียบ ถนนขรุขระ ถนนทราย สภาพภูมิอากาศ ร้อน หนาว ฝนตกชุก
    ใช้ยางกับกะทะล้อให้ถูกต้องตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์
    และกะทะที่ใช้จะต้องไม่บิดเบี้ยว หรือเป็นสนิม

    อย่าเลือกใช้ยางที่มีขนาดเล็กกว่ายางที่ติดรถมา ทั้งนี้เพราะยางที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมมีประสิทธิภาพในการรับน้ำหนักบรรทุกได้น้อยกว่า (รวมทั้งน้ำหนักตัวรถด้วย) ฉะนั้น ควรใช้ยางให้ถูกตามขนาดที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตหรือตามคำแนะนำจากร้านจำหน่ายยางที่ชำนาญงานเท่านั้น

    ควรใช้ยางชนิดเดียวกัน ดอกเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการขับขี่อย่างเต็มที่ ท่านควรตระหนักว่า ยางต่างชนิดกัน ย่อมมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน และมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย
    อนึ่ง หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้ยางที่ต่างชนิด หรือดอกยางต่างกัน
    ก็ควรจะใช้ยางชนิดหรือดอกเดียวกันในเพลาเดียวกัน

    หากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยางต่างขนาดกัน ให้ใช้ยางที่มีซีรีส์เท่ากันในเพลาเดียวกัน และให้ใช้ยางซีรีส์ต่ำกว่าเป็นยางหลัง ส่วนยางซีรีส์สูงกว่าเป็นยางหน้า

    เมื่อท่านเปลี่ยนยางใหม่แล้วท่านควรขับรถด้วยความระมัดระวังเพื่อให้ชินกับยางชุดใหม่เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เบรครถ เร่งความเร็วรถ เข้าโค้ง หรือใช้รถขณะฝนตก ทั้งนี้เพราะยางชุดใหม่อาจให้ความรู้สึกที่ผิดไปจากยางชุดเก่าที่ท่านเคยใช้

    ข้อควรระวัง เกี่ยวกับความปลอดภัย การถอดหรือใส่ยางเข้ากะทะล้อ ควรกระทำโดยผู้ชำนาญงานเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดความเสียหาย และอันตรายขณะถอดใส่ได้
  10. จะทำอย่างไรเมื่อรถเกิดอาการสั่นสะท้าน

    อาการสั่นสะท้านย่อมแสดงว่า มีสิ่งผิดปกติกับรถที่ใช้อยู่และควรได้รับการแก้ไขโดยทันที มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อยางที่ใช้ระบบช่วงล่าง ตลอดจนระบบพวงมาลัย เมื่อเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้น ท่านควรตรวจเช็คการสึกของยาง เพราะลักษณะการสึกจะทำให้ท่านพอทราบถึงสาเหตุของการสั่นสะท้าน และวิธีการป้องกัน
  11. นิสัยการขับรถมีผลต่อการสึกของยางหรือไม่

    นิสัยการขับรถของแต่ละท่าน จะมีผลต่อการสึกของยางก่อนกำหนด
    ฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ ท่านควรหลีกเลี่ยงนิสัยการขับต่อไปนี้ ออกรถ และหยุดรถอย่างรุนแรง การหักเลี้ยวอย่างรุนแรง การขับรถปีนขอบถนน ขับเบียดฟุตบาท การขับโดยไม่หลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง

ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์
1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง
ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก
เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย

ที่มา : goodyear.co.th