MKT Team
ขับขี่ปลอดภัย … ตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ

ข่าวการตั้งสถาบันสอนกฎจราจรแห่งแรกในประเทศ ไทย ช่างเป็นเรื่องน่าชื่นชมในความตั้งใจดีของกระทรวงศึกษาธิการกับกองบัญชาการ ตำรวจนครบาล เพราะเป็นที่รู้กันมานานว่าพฤติกรรมเสี่ยงคือ สาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุ การที่เล็งเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมาย คงสะท้อนความเชื่อของผู้รับผิดชอบว่า การสอนกฎจราจรตั้งแต่เยาว์วัยจะนำไปสู่การลดพฤติกรรมเสี่ยงได้ในระยะยาว เข้าทำนอง คติ “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก”

ถ้าความเชื่อนั้นถูกต้อง ก็แปลว่าในระยะสั้น เด็กที่ผ่านการสอนของสถาบันนี้จะข้ามถนนเดินถนนถูกกฎ ในระยะยาวเมื่อโตขึ้นมีรถขับ จะขับรถด้วยความปลอดภัยตามกฎจราจร อนุมานต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กที่ผ่านการสอนจะประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นจะประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่น้อยกว่าคนรุ่นเดียวกันที่ไม่ผ่าน การสอน

ผู้เขียนก็อยากเอาใจช่วยให้เป็นไปในทางที่ดี แต่เมื่อไปสำรวจความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญรวบรวมสังเคราะห์ไว้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ชะรอยความเชื่อข้างต้นจะไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้สนับสนุน

ดร.เมย์ฮิว แห่งมูลนิธิเพื่อการวิจัยการบาดเจ็บทางถนน ประเทศแคนาดาได้ตีพิมพ์บทสังเคราะห์องค์ความรู้ในวารสาร Injury Prevention ฉบับ ที่ 8 ปีพ.ศ.2545 รวบรวมความรู้ เกือบสามสิบปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2518-2545 สรุปใจความสำคัญได้ว่า โครงการฝึกอบรมหรือสอนขับขี่รถยนต์/จักรยานยนต์ทั้งหลายล้วนล้มเหลวในการส่ง เสริมพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย

ข้อ สรุปนี้สอดคล้องกับผลการสังเคราะห์ความรู้ก่อนหน้านี้ของนักวิชาการ หลายกลุ่ม เช่น จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกิ้น ประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันTransport South Australia ประเทศออสเตรเลีย กลุ่มCochrane Injuriesในสหราชอาณาจักร ฯลฯ ซึ่งเสนอผลงานในระหว่างปีพ.ศ.2543-45

ซ้ำร้ายกว่านั้น งานวิชาการหลายชิ้นยังสรุปด้วยว่า การสอนขับขี่ชักนำให้ผู้เรียนได้ใบขับขี่มาเร็วกว่าคนวัยเดียวกันที่ไม่ได้ ผ่านการสอน เลยออกถนนเร็วกว่า และประสบอุบัติเหตุมากกว่าเพื่อน ในรายงานชิ้นหนึ่งแสดงตัวเลขให้เห็นว่า ในบรรดานักเรียนชั้นมัธยมปลาย 16,388 คน เมื่อจำแนกเป็นสามกลุ่ม สองกลุ่มแรกผ่านการอบรมการขับขี่หลักสูตร 72 ชั่วโมง และ24 ชั่วโมง ได้ใบขับขี่ร้อยละ 88.4 และ 86.2ตามลำดับ

ใน ขณะที่กลุ่มที่สามไม่ได้ผ่านการอบรมได้ใบขับขี่ ร้อยละ 84.3 เมื่อติดตามต่อมาพบอัตราการประสบอุบัติเหตุในสองกลุ่มแรกเท่ากับร้อยละ 28.6 และ 26.5 ตามลำดับและ ในกลุ่มที่สาม พบร้อยละ26.7

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับข้อสรุปที่ออกจะสวนทางกับ สามัญสำนึกทั่วไป ผู้เขียนจึงขอขยายความต่อไปว่า มีเหตุผลอันใดที่อยู่เบื้องหลังความล้มเหลวเช่นนั้น

1. การสอนฯละเลยหรือไม่ให้น้ำหนักเพียงพอต่อการปลูกฝังความรู้และทักษะที่จำ เป็นยิ่งยวดต่อการขับขี่ ปลอดภัย ตัวอย่าง เช่น ทักษะในการประเมินความเสี่ยงบนถนน ผู้เรียนอาจไม่ถูกฝึกให้ตระหนักและสามารถประเมินความเสี่ยงของ การขับขี่ยามค่ำคืน การขับขี่ขณะถนนลื่น การขับจักรยานยนต์บนช่องทางที่ใช้ความเร็วสูง เป็นต้น

2. การสอนฯ ไม่สามารถปลูกฝังเจตคติที่ดีในการขับขี่ปลอดภัย ทำให้ผู้เรียนไม่ใส่ใจที่จะนำทักษะและความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง ความ จริงที่อาจมองข้ามคือ ในชีวิตจริงมีสิ่งเร้าให้ผู้เรียนขับขี่ไปในทางที่เสี่ยงภัย เช่น โฆษณายานยนต์และผลิตภัณฑ์โดยใช้ความแรง ความเร็วเป็นจุดขาย ภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่นที่ตัวละครแสดงลีลาผาดโผนขณะขับขี่ เพื่อนฝูงที่มีค่านิยมความเร็วและแรงในการขับขี่ ฯลฯ สิ่งเร้าเหล่านี้มักมีแรงชักจูง(ในทางเสื่อม) มากกว่าเจตคติขับขี่ปลอดภัยที่หลักสูตรปลูกฝังไว้

3. การสอนฯ สร้างความเชื่อมั่นเกินจริงในความสามารถของตนเอง มีหลักสูตรจำนวนไม่น้อยฝึกให้ผู้เรียนขับขี่สามารถประคองรถในสภาพการณ์ที่ ลื่นไถล แต่ในชีวิตจริงโอกาสที่จะเผชิญสถานการณ์นี้มีน้อย ทำให้ทักษะที่เรียนมาเสื่อมถอยไป โดยที่ผู้เรียนไม่ทันรู้ตัว เลยหลงผิดว่าตนยังมีความสามารถนั้นอยู่ จึงชะล่าใจ ปล่อยให้ตนเองเข้าสู่สถานการณ์ลื่นไถลโดยไม่จำเป็น ถ้าหันมาเน้นการฝึกสอนให้ผู้เรียนรู้จักและตระหนักในขีดจำกัดของตนเองอยู่ ตลอดเวลา ก็จะลดความฮึกเหิม ลดความชะล่าใจนั้นได้ ดังจะสังเกตเห็นว่า คนตาบอดและคนพิการอื่นๆมักระมัดระวังตัวในการเดินมากกว่าคนปกติเพราะตระหนัก รู้ขีดจำกัดของตนเองตลอดเวลา

4. การสอนฯไม่สามารถช่วยให้ผู้เรียนจัดการกับสิ่งเร้าใจให้สุ่มเสี่ยงได้ มีการวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุกับ สิ่งเร้าใจให้สุ่มเสี่ยง เช่น การท้าทายของเพื่อนให้แข่งรถ ตัวแบบในภาพยนตร์ การโฆษณาที่เย้ายวนด้วยค่านิยมโฉบเฉี่ยว เร็วแรง ฯลฯ สิ่งเร้าในทางเสี่ยงเหล่านี้รุมเร้าสังคมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในขณะที่การสอนขับขี่ส่วนใหญ่มองข้ามการฝึกทักษะ ฝึกการครองสติให้เผชิญกับสิ่งเร้าอย่างมีวิจารณญาณ

5. การสอนฯ ส่วนใหญ่มักมีหลักสูตรประเภทตัดเสื้อโหลแจก คือ ไม่คำนึงถึงพื้นเพทางสติปัญญา ทักษะ ความรู้ จิตใจ และร่างกายที่หลากหลาย จึงอาจจะไม่สามารถเติมเต็มในส่วนขาดที่สำคัญของแต่ละบุคคล คนที่ตาบอดสีอาจผ่านการสอนโดยไม่ได้รับการพัฒนาทักษะในการแยกแยะสัญญาณไฟ จราจร ทำให้อาจตีความสัญญาณไฟผิดพลาด จนฝ่าไฟแดงและเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น

ที่ กล่าวมานี้ ไม่ได้เจตนาให้ผู้อ่านตีความว่า ควรยกเลิกการสอนขับขี่ทุกรูปแบบ แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า ยังมีโอกาสพัฒนาอีกมากรออยู่หากการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชนในเรื่องนี้จะ ก่อประโยชน์สูงสุด และคุ้มค่า

กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ตลอดจนภาคธุรกิจที่สนใจเรื่องนี้ควรระดมสมองและสังเคราะห์องค์ความรู้ให้รอบ ด้านเพื่อคิดค้นรูปแบบวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านการใช้รถใช้ถนนที่ เหมาะสมที่สุดสำหรับสังคมไทย โดยมีการวิจัยประเมินผลคอยกำกับตรวจสอบว่า สิ่งที่ออกแบบและดำเนินการเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ยังมีส่วนใดต้องปรับปรุง ผู้เขียนเชื่อว่า เส้นทางแห่งการพัฒนาคุณภาพกระบวนการเรียนรู้การขับขี่ปลอดภัยเป็นเส้นทางที่ ไม่มีจุดจบ กระนั้นก็ตามหากจะริเริ่มให้สง่างาม พึงตั้งมั่นอยู่กับการใช้ความรู้ที่รอบด้าน

ประเด็นสุดท้ายที่อยากชวนให้ คิดคือ ทำอย่างไรคนส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องขับขี่ควรได้เข้าถึงและได้อานิสงจากการฝึก อบรมขับขี่ปลอดภัยในเวลาอันเหมาะสม อย่าลืมว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด ขับขี่ปลอดภัยในวงเล็กย่อมมีความหมายจำกัดถ้าคนวงใหญ่ยังขับขี่แบบตามใจ (ฉัน) ฉันนั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=4787932564615
MKT Team
ก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับเทศกาลปีใหม่ ที่บางคนเล่นหยุดกันยาวตั้งแต่วันที่ 25 ยาวยันวันที่ 1 มกราคม 2554 กันเลยทีเดียว งานนี้หลายคนคงมีแผนการหยุดยาวเตรียมไปเที่ยวกันอย่างหนำใจให้สมกับส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และถ้าคุณมีแผนการใช้รถก้น่าจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง

การเตรียมรถให้พร้อมก่อนเดินทางนั้น ถือเป็นเรื่องคุณควรกระทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่ชอบเดินทางไปยัง ป่า เขา ลำเนา ไพร เพราะ การเตรียมพร้อมช่วยให้รถคุณไม่มีปัญหาในการขับขี่และพร้อมสำหรับเส้นทางที่คุณอาจจะเจออุปสรรค ซึ่งการที่เราเตรียมตัวไว้อย่างดีช่วยรถปัญหาที่จะทำให้วันสุดสนุกกลายเป็นหายนะ และยังช่วยคุณเซฟเงินไว้เที่ยวให้เต็มที่ด้วยนะ

1. ถ่ายน้ำมันเครื่อง เมื่อพูดถึงรถ เราคงต้องนึกถึงเครื่องยนต์เป็นอย่างแรก ซึ่งถ้าเป็นไปได้งบเหลือๆ นั้น เราแนะนำให้คุณเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเสียก่อน เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์นั้นเต็มร้อยก่อนออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งความจริงแล้วน้ำมันเครื่องที่ใช้ไปเป็นระยะเวลานาน จะเกิดความหนืดมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากคุณเดินทางต่างจังหวัด โดยความเร็วสูงบ่อยๆ หรือเครื่องยนต์ทำงานตลอดเวลา น้ำมันก็จะเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น และถ้าคุณใช้น้ำมันที่ใกล้ถึงระยะเปลี่ยนถ่ายอาจส่งผลให้เครื่องยนต์สึกหรอ หรือร้ายที่สุดก็พังเลยก็เคยเห็นมาแล้ว

2. ตรวจสอบระบบหล่อเย็น เรื่องการระบายความร้อนก็สำคัญไม่แพ้กัน และมันเป็นอะไรที่คุณควรทำเสีย การเช็คระบบหล่อเย็นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งช่างเพียงคุณตรวจดูบริเวณหม้อน้ำหารอยซึมหรือรั่ว จากนั้นสังเกตกระปุกพักน้ำสำรองว่ามีคราบสนิมหรือไม่

ถ้าคุณพบว่าน้ำหล่อเย็นคุณมีสีสนิมนั้น ก็ควรที่จะไปให้ช่างผู้ชำนาญการเปลี่ยนถ่าย หรือเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการ เพราะการที่น้ำหล่อเย็นมีสีผิดปกติ แสดงว่า น้ำยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งปกติน้ำยาจะมีอายุการใช้งานเพียง 2-3 ปีเท่านั้น ซึ่งเมื่อน้ำยาเสื่อมคุณภาพมันก็จะระบายความร้อนไม่ดี มีสิทธิ์ที่คุณจะเจออาการเครื่องฮีทระหว่างทางและหมดสนุกได้

3.ตรวจเช็คระบบเบรกและช่วงล่าง เบรกคือสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทาง และพวกมันควรอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่วางแผนไปเที่ยวทางทางเหนือที่คุณจะต้องผ่านนับพันโค้งเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง หากคุณพบว่ารถคุณมีเสียงในขณะห้ามล้อหรือมีอาการผิดปกติ เช่นมีระยะเบรคมากกว่าปกติ ก็ควรรีบทำการตรวจสอบโดยทันที เพราะเส้นทางต่างจังหวัดนั้น เบรคคือสิ่งสำคัญ

ช่วงล่างหรือระบบกันสะเทือนก็เช่นกัน หลายคนคิดว่า ชุดช่วงล่างจะใช้กันยาวนานนับ 10 ปี ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด การตรวจสอบช่วงล่างนั้น ทำได้ด้วยการจับความรู้สึกรถ และทดสอบโยกจากภายนอกด้วยตัวเอง ถ้ารถมีระยะยุบมาก หรือคืนตัวช้า แสดงว่าระบบช่วงล่างมีการสึกหรอ หรือ ถ้าคุณขับจะรู้สึกว่ารถจะมีความนิ่มนวลกว่าปกติ ...อย่าปล่อยไว้รีบไปตรวจสอบทันทีในบัดดล

4.ยางและระบบบังคับเลี้ยว ยางอาจจะดูไม่สำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการที่คุณขับรถต่างจังหวัดนั้นมีโอกาสยางระเบิดมากกว่าปกติเลยทีเดียว ดังนั้นถ้ายางคุณเริ่มมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานควรทำการเติมลมเพิ่มจากปกติ 1-2 ปอนด์ (ยกเว้นกรณีคุณเติมลมแข็งอยู่แล้ว) เพราะลมยางที่มากช่วยป้องกันยางระเบิดได้พอสมควร หรือถ้าไม่มันใจ ก็หาร้านเติมลมในโตรเจนที่เฉลี่ย 4 ล้อเพียง 200 บาทเท่านั้น อาจจะดูแล้วแพงแต่มันช่วยชีวิตคุณได้นะ

ระบบบังคับเลี้ยวก็เช่นกัน มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะถ้าคุณเลี้ยวไม่ได้ รับรองไม่ข้างทางก็ด้านหน้า เลือกเอาตามสะดวกเลย เราหลายคนไม่เคยตรวจเช็คระบบบังคับเลี้ยว โดยเฉพาะปั้มระบบผ่อนแรงหรือพวงมาลัยพาวเวอร์ที่อาจจะทำให้คุณกล้ามโตได้หากเสียระหว่างทาง ฟังดูอาจจะไม่ร้ายแรงนัก แต่คุณก็ควรจะทำการตรวจสอบเอาไว้ให้มั่นใจในการขับขี่ โดยสังเกตจากกระปุกน้ำมันพาวเวอร์ หากมีสีเข้มกว่าสีแดงปกติ เปลี่ยนถ่ายมันโดยช่างผู้ชำนาญการก็เป็นอะไรที่เข้าท่า

5.คนขับ คุณเองก็ต้องการการเตรียมพร้อมเพื่อการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและมันทำให้การเดินทางของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ในต่างประเทศมีวิจัยพบว่าถ้าคนจะขับรถได้มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อเขานอนพักผ่อน 2- 3 วัน อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง บนที่นอน ซึ่งนอกจากการพักผ่อนแล้วสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ควรจะทำร่างกายให้แข็งแรงก่อนการเดินทาง

ทั้งหมดนี้เป็น 5 ข้อที่ควรจะทำก่อนไปเที่ยวปีใหม่ที่ต้องฉลองกันให้สนุกส่งท้ายปีนี้ ยังไงขับรถไปเที่ยวก้ใช้ความระมัดระวังและมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทางสักนิด จะได้ไปสนุก!!! ด้วยกันทุกคนครับ


ที่มา www.sanook.com
MKT Team
เพื่อทำความรู้จักกับพริอุส เจเนอเรชันที่ 3 อย่างละเอียด ถูกต้อง ชัดเจน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จึงพาสื่อมวลชนไปสัมผัสกันแบบใกล้ชิด ณ เมือง นาโกยา ประเทศญี่ปุ่น โดยมี อากิฮิโกะ โอซึกะ หัวหน้าวิศวกรดูแลโตโยต้าพริอุส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน เป็นผู้ให้ความรู้กับสื่อมวลชนไทย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า พริอุส ที่กำลังจะพูดถึงเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น ส่วนเวอร์ชันที่จะประกอบในไทยจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากเวอร์ชันญี่ปุ่น

สำหรับเจเนอเรชันที่ 3 ของพริอุสได้รับการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถตอบสนองต่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และสมรรถนะในการขับขี่ที่ขึ้นจาก 2 รุ่น ที่ผ่านมา และครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบไฮบริดจากเดิมที่ยึดเครื่องยนต์ 1500 ซีซี มาเป็น 1800 ซีซี ขณะที่รูปแบบตัวถังยังคงสไตล์แฮทช์แบ็กท้ายลาด 5 ประตู แต่จุดที่เปลี่ยนไปคือ ความใส่ใจในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานหรือ Cd จากเดิม 0.26 ในรุ่นที่แล้วมาอยู่ที่ 0.25 ในรุ่นนี้

พริอุส ใหม่มีขนาดตัวถังยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,745 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับพริอุสรุ่นที่แล้วยาว 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,715 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงยึดแนวเส้นสายจากรถรุ่นเดิม แต่ถูกปรับปรุงให้ดูสมดุลและลงตัวกว่าเช่นมุมของกันชนหน้าและชุดไฟท้ายไปจนถึงการออกแบบล้ออัลลอยให้มีฝาครอบล้อ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงไปจากล้ออัลลอยแบบปกติถึง 7 กิโลกรัม อีกทั้งยังออกแบบใต้พื้นตัวถังให้ลดปัญหาเรื่องความแปรปรวนของอากาศที่ไหลผ่านขณะแล่นซึ่งจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง และลดการก่อให้เกิดแรงต้านทานของอากาศซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

ขณะเดียวกันชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารยังผลิตจากวัสดุที่เป็น Bioplastic ซึ่งเป็นวัสดุที่ถูกสังเคราะห์จากใยพืชหรือหญ้าแทนที่จะเป็นพลาสติกที่มาจากปิโตรเลียมซึ่งย่อยสลายได้ยากตามธรรมชาติ โดยใช้พืชที่เรียกว่าปอแก้ว และหญ้าจีนซึ่งถือเป็นพืชที่มีเส้นใยที่มีความทนทานสูงสุดในธรรมชาติ

แผงหน้าปัดถูกออกแบบให้ดูล้ำสมัยยิ่งขึ้น ตำแหน่งชุดมาตรวัด ดิจิตอล (Digital) ถูกออกแบบให้ช่วยลดการละสายตาของผู้ขับขี่ พวงมาลัยยังคงออกแบบให้มีรูปทรงเหมือนกับพริอุสรุ่นก่อน มีสวิชต์การควบคุมการทำงานของระบบเครื่องเสียงและอื่น ๆ อีกมาก บนหน้าจอจะมีระบบแจ้งสถานะของรถได้ และเลือกเปลี่ยนโหมดต่าง ๆ ได้ด้วยการกดปุ่ม Display

สำหรับห้องโดยสารดูกว้างขวางมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง และที่สำคัญเบาะนั่งแถวหลังยังแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังจากเดิม 415 ลิตร มาเป็น 446 ลิตรในรุ่นใหม่

ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนขุมพลังไฮบริดมาเป็นรหัส 2ZR-FXE ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว แบบ Dual-VVT-I มีความจุ 1800 ซีซี พร้อมกำลังขับเคลื่อน 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส 3JM มีกำลังสูงสุด 82 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.1 กก.-ม. โดยเมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันจะสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 134 แรงม้า และใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิลเมทัลไฮดรายในการเก็บกระแสไฟฟ้า
ข้อดีของเครื่องยนต์ที่มีความจุมากขึ้นคือแรงบิดที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลืมในเรื่องของความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะมีการออกแบบให้เครื่องยนต์ลดจำนวนรอบลง โดยเฉพาะเมื่อต้องแล่นด้วยความเร็วคงที่บนไฮเวย์ รวมถึงยังใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดภาระให้กับเครื่องยนต์
ระบบไฮบริดของโตโยต้ารุ่นนี้ จะมีการแบ่งการทำงานของระบบไฮบริดเอาไว้ 3 แบบ คือ Power เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ, Eco เน้นความประหยัดน้ำมัน และ EV ซึ่งสามารถขับภายใต้รูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าได้ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่เพื่อส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ในการขับเคลื่อน และนั่นทำให้พริอุสสามารถแปลงร่างเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศชั่วคราว
เมื่อทราบถึงรายละเอียดคร่าว ๆ ของ พริอุส รุ่นใหม่กันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะลงสนามไปลองขับ สัมผัส คันจริงกันบ้าง

การทดลองขับมีขึ้น ณ สนาม Spa Nishiura Motor Park เรียกย่อ ๆว่า SNMP สนามแห่งนี้มีความยาว 1.6 กิโลเมตร มีทางโค้งรวม 11 โค้ง ซึ่งแต่ละโค้งถือว่าไม่ธรรมดา เพราะทั้งโค้งรูปตัวยู โค้งหักศอก ทางโตโยต้าแบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กลุ่ม และแต่ละคนสามารถขับได้ไม่เกิน 2 รอบสนามต่อ 1 ครั้ง รวมแล้วขับได้ทั้งหมดคนละ 3 ครั้ง เท่ากับว่าจะได้ลองขับคนละ 6 รอบสนาม แต่ไม่ต่อเนื่องเพราะจะมีเพื่อนร่วมนั่งไปด้วยอีก 2 คนสลับขับ ทุกคนจะต้องขับตามรถ Instructor ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย

อย่างที่กล่าวข้างต้นพริอุส มีการทำงานของระบบไฮบริด 3 แบบ เจ้าหน้าที่ของโตโยต้าจึงให้ทุกคนได้ลองขับให้ครบทุกโหมด และจากการได้สัมผัสช่วงเวลาสั้น ๆ รู้สึกว่า พริอุส ใหม่มีอัตราเร่งที่เหลือเฟือ แถมยังรวดเร็วทันใจ ทั้งนี้เป็นเพราะการยกระดับเครื่องยนต์จาก 1500 ซีซี มาเป็น 1800 ซีซี บวกกับมีระบบการทำงาน 2 อย่างผสมผสานกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ ส่งผลให้มีแรงม้าเพิ่มถึง 134 แรงม้า จึงช่วยเพิ่มสมรรถนะในการออกตัวและไต่ความเร็วขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ให้เปลี่ยนมาใช้โหมด Power เพื่อทดสอบความเร็วด้วยการเหยียบเต็มที่ในระยะทางตรงที่กำหนดและเบรก(ซึ่งความเร็วที่ทำได้มากสุดในคันเรา 126 กิโลเมตร/ชม.) เพื่อทดสอบอัตราเร่ง ความเร็ว การเบรก ซึ่งตรงนี้เห็นชัดเจนเลยว่าอัตราเร่งดีมาก รวดเร็ว ทันใจ อัตราเร่งจาก 0-100 ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว ( วิศวกรญี่ปุ่นบอกว่าการจับเวลา 0-100 กิโลเมตร/ชม.น่าจะอยู่ประมาณ 10.8 วินาที) ระยะเบรกรู้สึกสั้นมาก สั้นกว่ารถทั่วไป ถือว่าเบรกดีเลย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยส่วนหนึ่งหรือที่เรียกว่า Re-Generative braking system ส่วนในโหมด Eco เจ้าหน้าที่โตโยต้าบอกว่า อัตราเร่งจะมาช้ากว่าโหมด Power นิดหนึ่ง แต่จากที่เราได้ลองแทบจะไม่รู้สึกเลย รู้แต่ว่า อัตราเร่งมาทันใจ และดูเหมือนว่าจะมากเกินความคาดหมาย
ขณะที่โหมดอีวีเพียงแค่แตะคันเร่งลงไปนิดหน่อย มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานอย่างเดียวรถออกตัวไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์เลย
พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS :Electronics Power Steering ให้การตอบสนองที่แม่นยำ น้ำหนักกำลังดี ไม่เบา ไม่หนัก ในขณะเข้าโค้งหรือหักพวงมาลัยไปตามทิศทางใดที่ต้องการอย่างทันใจ การทรงตัวมั่นใจ ช่วงล่างหนักแน่น เกาะถนน
แต่จะว่าไปแล้วการขับขี่ทั่วไป รถจะปรับเปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบจะทำงานให้เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟ เครื่องยนต์ดับ เครื่องยนต์ทำงาน การเปลี่ยนโหมด ทุกอย่างดูนุ่มนวลจนไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยน แต่เราจะรู้ได้จากการดูจอหน้าคอนโซลที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานของระบบไฮบริด
สำหรับความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ทางโตโยต้าบอกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยการขับในรูปแบบผสมอยู่ที่ 21.3 กิโลเมตร/ลิตร และได้รับการจัดอันดับให้เป็นรถยนต์แบบ SULEV และ AT-PZEV ตามมาตรฐานการทดสอบของ CARB ด้วย
ด้วยการขับขี่ไม่ด้อยไปกว่ารถทั่วไป และดูจะเหนือกว่ารถบางรุ่นในระดับเครื่องยนต์เดียวกันด้วยซ้ำไป ทำให้ราคาที่โตโยต้า ประเทศไทยตั้งไว้ประมาณ 1.3 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่า ไม่แพง เมื่อแลกกับรถที่หน้าตาดูล้ำยุค ไม่เหมือนใคร ภายในก็มีดีไซน์ที่เน้นความทันสมัย ทั้งอุปกรณ์และวัสดุ บวกกับห้องโดยสารที่ใหญ่ 5ประตู สามารถพับเบาะได้ โดยเฉพาะกระโปรงท้ายหัวหน้าวิศวกรบอกว่าเก็บถุงกอล์ฟได้ถึง 3 ถุงทีเดียว ช่วงล่างนุ่ม นิ่ม กำลังดี -เบรกดีแบบมั่นใจ ส่วนความประหยัดไม่ต้องถามเลยประหยัดสุดสุดอยู่แล้ว ที่สำคัญเครื่องยนต์ 1800 ซีซี แต่มีแรงม้าแยะหากมารวมกับแรงม้าที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้า ดังนั้นอัตราเร่งหายห่วง
หากคุณมีเงินถึงและอยากได้รถที่มีประโยชน์ใช้สอยสูง สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน หน้าตาทันสมัย ล้ำยุค ที่สำคัญคุณเป็นคนห่วงใยสิ่งแวดล้อม .....ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ซื้อ "พริอุส"
MKT Team
ถ้าถามว่าชิ้นส่วนใดในรถ เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด เราหลายคนคงจะนึกถึงเครื่องยนต์ที่มันจะเป็นหัวใจในการขับขี่ เพราะถ้าไม่มีเครื่องยนต์ รถก็คงขับเคลื่อนไม่ได้ ที่จะว่าไปก็ถูกต้องแล้ว แต่ชีวิตเรายามขับขี่นั้น เชื่อหรือไม่ว่ามีหลายคนไม่ใส่ใจในชิ้นส่วนที่ดูแลง่ายอย่าง ยางรถยนต์ ที่อาจนำคุณไปสู่อุบัติเหตุ หลายคนไม่รู้ว่ายางสำคัญและปัจจุบันยางรถยนต์นั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา โดยเฉพาะลมยางที่จำเป็นต้องเติมเข้าไปให้สม่ำเสอเพื่อการขับขี่ที่ดีที่สุดยามคุณเดินทาง กับรถยนต์คู่ใจ ลมยางนั้น เป็นอากาศที่ใช้ในการเติมเข้าไปในยางเพื่อให้ยางมีความแข็งเพียงพอที่จะให้หน้าสัมผัสของยางทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่มันจะช่วยคุณในการเกาะถนน ไปจนถึงการเบรค ที่สามารถทำได้อย่างมั่นใจ ในยามที่ชีวิตของคุณนั้นไม่มีอะไรพึ่งได้นอกจาก ล้อทั้ง 4 ที่ใช้ในการทรงตัว และยางคือจุดหลักในการรับแรงสัมผัส แรงเสียดสีบนถนน เมื่อคุณทำการเบรกรถของคุณ

โดยปกติแล้ว เราควรตรวจสอบลมยางทุกๆ 2 สัปดาห์ในการใช้งานรถ เพื่อให้ลมยางสม่ำเสมอ เท่ากันทุกล้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยคุณป้องกันอุบัติเหตุด้วยไปในตัว เนื่องจากลมยางที่อ่อนนั้นจะทำให้ให้เนื้อยางถูกบดไปกับถนนมากเกินไปเป็นที่มาของความร้อนและท้ายสุด ยางระเบิด ทั้งๆที่ ยังไม่สิ้นอายุไขของยางเส้นนั้นๆ ทำให้เสียเงินโดยใช่เหตุอีกด้วยจริงอยู่การเติมลมยางอาจเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ใครก็รู้ และปัจจุบันก็ทำได้ง่ายยิ่ง ไม่ว่าคุณจะใช้เด็กปั้ม หรือลงไปเติมด้วยตัวเอง ด้วยตู้เติมลมอัตโนมัติ ซึ่งการเติมลมยางนี่ก็มีต้องมีเทคนิคในการเติม และทำได้ง่ายเพียงต้องเรียนรู้บางอย่าง

1.รู้ค่าลมที่ยางรับได้สูงสุด การเติมลมยางนั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า ยางนั้นมีค่าลมยางสูงสุดที่รับได้เท่าไร ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนยางจากสแตนดาร์ดโรงงาน ก็อ่านค่าได้ง่ายๆ เพียงดูที่แก้มยาง ที่จะมีระบุไว้ให้อย่างชัดเจน และคุณต้องไม่เติมลมเกินกว่าเลขจำนวนนั้น เพราะ ถ้าคุณเติมลมมากเกินไปก็เสี่ยงต่อยางระเบิด เนื่องจาก เมื่อรถวิ่งอากาศภายในจะมีการขยายตัวจากความร้อนที่เกิดขึ้น และถ้าลมมีมวลมากมันก็หาทางออกนั่นเอง

2.รู้ปีของยาง การรู้ปีที่ผลิต สำคัญมาก เพราะเมื่อยางเก่าใกล้เสื่อมสภาพ เราไม่ควรจะเติมลมแข็งมาก เพราะหน้าสัมผัสของชั้นความหนายางที่เหลือน้อยลงทำให้ เกิดความร้อนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง วิธีการอ่านปีของยางนั้นก็ทำง่ายๆ เพียงมองหายตัวเลขบนยางที่อยู่ในวงกลม/วงรีแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งจะมีตัวเลข 3-4 ตัว โดย 2 ตัวแรกจะเป็นสัปดาห์ที่ผลิต ส่วน 2 ตัวหลังจะเป็นปีที่ถูกผลิต อย่าง 5210 อันนี้ก็อ่านว่า ยางดังกล่าวถูกผลิตสัปดาห์ที่ 52 ปี 2010

3.หาที่วัดลมยางของตัวเอง เราไม่รู้หรอกว่าที่วัดลมยางอันไหนเที่ยงตรงที่สุด เพราะแต่ละปั้ม หรือร้านก็ใช้ที่วัดคนละตัว ดังนั้นคุณควรซื้อที่วัดลมยางส่วนตัวเอาไว้ และหยิบมาใช้เมื่อต้องการ

4.ลมแข็ง / อ่อน คุณตัดสินใจ หลายคนไม่แน่ใจว่าจะเติมลมแข็งลมอ่อน บ้างช่างว่า 35 ปอนด์ ก็ 35 ปอนด์อะไรแบบนั้น

การจะเติมลมแข็งลมอ่อนนั้น มีวิธีการตัดสินใจง่ายๆข้อเดียว คือลักษณะการขับขี่ของคุณ หากคุณเป็นพวกโลดโผนโจรทะยาน ต้องเติมลมแข็งเข้าว่า หลายคนถามว่าทำไม เพราะ ลมแข็งจะช่วยให้ยางแข็งช่วยให้ช่วงล่างแข็งขึ้นอีกเล็กน้อย และยังขยายหน้าสัมผัสยางดีขึ้นด้วยกลับกันถ้าคุณชอบความสบายควรเติมลมอ่อน การเติมลมอ่อนนี้ไม่ใช่ว่าจะอ่อนมาก แต่ต้องกำลังพอดี โดยประมาณให้มีแรงดัน 30 ปอนด์ขึ้นไป เพื่อให้หน้ายางไม่บดพื้นจนเกินโดยปกติ ประมาณสัก 32 ปอนด์ถือว่ากำลังดี การเติมลมอ่อนมีข้อดีที่รถคุณจะดูสบายไปเลย เพราะช่วงล่างทำงานหนักน้อยลง แต่คุณก็เสี่ยงกับการไม่เกาะถนนมากขึ้น เพราะยางอ่อนจะทำให้รถร่อนได้ง่าย โดยเฉพาะยามถนนลื่น ฉะนั้นต้องขับรถไม่ใช้ความเร็วสูง

ทั้งนี้คุณควรจะหมั่นตรวจสอบลมยางเป็นประจำ และควรทำทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างน้อยเดือนละครั้ง ยังไงก็คิดเสียว่าชีวิตคุณขึ้นอยู่กับพวกมัน เรื่องลมยางจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญและมันเป็นอะไรที่คุณควรหมั่นตรวจสอบบ่อยด้วย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ใช้รถอย่างตะบี้ตะบันไม่ได้ตรวจสอบกันเลย ทั้งนี้การเติมลมยางไม่ว่าแบบไหนก็ควรจะคิดพินิจตรึกตรองกันให้ดีๆ แต่ถ้าคุณไม่อยากตรวจสอบลมบ่อย ลมไนโตรเจน ก็เป็นทางออกที่ดีครับ
MKT Team
ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า รถยนต์ใหม่ที่มีมากขึ้นในตลาดรถยนต์และราคาที่ถูกลง ไปจนถึงระยะผ่อนและดอกเบี้ยที่ถัวเฉลี่ยที่ 2.00% นั้น เป็นอะไรที่ดึงดูดลูกค้าอย่างมาก และทำให้ในปีที่ผ่านมานี้รถใหม่มีอัตราเติบโตสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ตลาดรถยนต์มือสองนั้นไปได้เรื่อยๆไม่หวือหวาอย่างที่ควรจะเป็น

การถีบตัวสูงขึ้นของผู้คนที่หันไปออกรถใหม่มากขึ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำให้บริษัทรถยนตืได้ประโยชน์เต็มๆ ทว่าในทางตรงข้ามของรถมือ 2 นั้น ก็ขายไปได้เรื่อยๆ และมีทีท่าว่ายอดขายจะค่อยๆทรุดลง จนในที่สุดถึงทางตันของตลาดรถยนต์มือสอง จากกลยุทธ์ของบรรดาค่ายผู้ผลิต ที่นับวันกระหน่ำโปรโมชั่น ทำให้ลูกค้าสนใจ จน มีถึงขนาดว่า ซื้อวันนี้ อีก 3 เดือนค่อยเริ่มผ่อนกันก็ยังมี

ตลาดแข่งขันที่ดุดเดือดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อคนไทยเริ่มให้การยอมรับในระยนต์กลุ่มซับคอมแฑ้คหรือรถเล็กมากขึ้นนั้น ทำให้คลาดรถยนต์กลุ่มใหม่นี้ต่างคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาน่าคบหาตั้งแต่ 4 แสนกลางๆจนถึงมากที่สุดคือ 7 แสนบาท หรือถ้าคุณเบี้ยน้อยหอยน้อย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะออกรถใหม่ไม่ได้ หากคุณไม่คิดมากถึงขนาดและความโก้ รถเล็กรักสิ่งแวดล้อมพันธุ์ประหยัดอย่า งอีโค่คาร์นั้น ก็สามารถให้คุณเป้นเจ้าของจากโรงงานได้ง่ายๆ ไม่ยากนัก

ข้อดีของการออกรถใหม่ในปัจจุบันนันมีมากมาย จนคุณอาจจะไม่อยากเชื่อ และแม้ว่าวันนี้ราคารถมือสองจะมีการกดราคาลงอีกเพื่อให้คนอยากที่จะมองพวกมากๆ ทว่า ข้อดีของการซื้อรถมือ 1 นั้นก็มีมากเช่นกันที่เราจะไปดูกันว่า ทำไม รถมือ 1 ในวันนี้ถึงน่าซื้อมากมายนัก

1.ออกง่าย คุณอยากมีหรือเปล่า แน่ล่ะใครๆก็อยากมี ถ้าคุณมีหลักฐานมั่นคง วันนี้ การดาวน์เริ่มต้นเพียง 5% นับว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมาก รถราคาเป็นล้าน แต่คุณแค่กำเงินไปประมาณ 50,000 บาท ก็สามารถออกรถได้ โดยที่ไม่ต้องคิดมาก การดาวน์ต่ำนั้นช่วยให้ออกรถง่าย แต่บางครั้งนั่นก้ยังไม่พอให้คนตัดสินใจซื้อรถ ทำให้ทุกวันนี้โปรโมชั่นต่างๆ ถูกเสนอขึ้นมาช่วยเป็นทางเลือกในการตัดสินใจ และอย่างน้อยๆมันก็มีประกันภัยชั้น 1 ที่พร้อมสรรพมาแล้ว

2.ดอกเบี้ยต่ำกว่ารถมือสอง คุณรู้หรือไม่ว่า รถมือสองนั้นแม้จะผ่อนต่ำกว่ารถใหม่ แต่มีอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ามากเกือบครึ่งของรถใหม่ ปัจจุบันรถใหม่มีดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยที่ 2.00 % ในขณะที่รถมือสอง เริ่มต้นที่ 4.75 % สำหรับรถยนต์ที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี และถ้ารถที่คุIจะซื้อมีอายุเกิน 15 ปี ไฟแนนซ์ก็ไม่รับจัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง และที่สำคัญอีกประการ คือรถใหม่นั้นปัจจุบันผ่อนได้นานขึ้น แต่คุณก็ต้องมีดอกเบี้ยสูงตามไปด้วย

3.ประกันคุณภาพ การรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรนั้น ปัจจุบัน กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการขายรถยนต์ไปแล้ว เพราะการรับประกันนั้นช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในตัวรถ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้างส่วน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อมากขึ้น

4.การบริการหลังการขายที่ดีขึ้น ปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่าการบริการหลังการขายของค่ายรถยนต์ต่างๆ นั้นดีขึ้นตามลำดับไม่ว่าจะยี่ห้อเล็ก ยี่ห้อใหญ่ คุณก็มั่นใจได้ว่า จะได้รับการบริการที่ดี แน่นอน นี่ทำให้คุณไม่ต้องไปผจญกับพวกช่างราคาถูก และไม่ปวดขมอง เพราะถ้ามีปัญหา ก้สามารถฟ้องร้องได้ตามขั้นตอนทางกฏหมาย

5. ไม่เสี่ยงกับรถไม่ได้คุณภาพ แน่นอน เราพูดแบบนี้อาจจะมีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่า กว่า 70 % ของรถมือสองนั้น เป้นรถยนต์ที่ผ่านอุบัติเหตุหนักมาจนคุณ คงแทบไม่อยากจะทราบประวัติ และการซื้อรถใหม่นั้นลดการชั้จิตใจข้อนี้ได้ และหากมีปัญหาในระหว่างใช้งานคุณก็สามารถหันหน้าเข้าหาบริษัทได้

การซื้อรถใหม่นั้น ปัจจุบันมันเป็นทางออกที่ดีกว่าคุณคิด เพราะค่ายรถยนต์ต่างก็ขายสินค้าของตัวเอง และการที่มีการแข่งขันในตลาดรถยนต์สูงนั้น ทำให้เราในฐานะผู้บริโภคได้ประโยชน์ไปเต็มๆ

ที่มา www.sanook.com
MKT Team
แม้งานปลายปีอย่าง Motor Expo จะจบลงไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมยอดจองรถสุดแสนมหาศาลทำลายทุกสถิติตั้งแต่เคยจัดงานมา ทว่า ถ้าใครไปงานนี้แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ในช่วงเวลาที่เหลือกอีก 15 วันนี้ คงเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่คุณควรจะคิดให้หนัก และรีบไปโชว์รูมหากคุณกำลังอยากจะออกรถคันใหม่

ถึงบริษัทลีสซิ่งกับการเลือกซื้อรถจะดุเหมือนคนละเรื่องเดียวกันนั้น ทว่าการออกมาประกาศตัวล่าสุดของบรรดาค่าย Leasing จะสร้างความกังวลให้คนที่กำลังมองรถในปีหน้าไม่น้อย เมื่อทางบริษัทนายหน้าค้าเงินต่างๆเตรียมปรับดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์ขึ้นไปอีกอย่างน้อย 0.1-0.2 %

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต หนึ่งในบริษัทรับจัดไฟแนนซ์ชั้นนำเปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2554 เชื่อว่าน่าจะมีการขยับดอกเบี้ยเช่นซื้อรถยนต์ขึ้นอีก 0.1-0.2% ที่เป็นไปตามปรับดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ที่เพิ่งประกาศปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดอีก 0.25%

"ทิศทางของดอกเบี้ยตอนนี้อยู่ในระหว่างขาขึ้นกันทุกเจ้า เพียงแค่รอให้ผ่านช่วงมอเตอร์เอ็กซ์โปไปก่อน เนื่องจากตอนนี้ต้นทุนทางการเงินต่างๆ นั้นเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากมีการประกาศปรับขึ้นที่สูงขึ้น ดังนั้นช่วงนี้ถือเป็นจังหวะดอกเบี้ยต่ำที่สุดโอกาสสุดท้ายแล้ว"
ต้องรีบจริงๆครับ โดยเฉาพะใครที่กำลังตัดสินใจอยากจะมีรถใหญ่เป้นของตัวเอง ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก-มากที่สุด เพราะการขยับขึ้นดอกเบี้ย ย่อมทำให้ยอดผ่อนขึ้นตามไปอย่างแน่นอนและช่วยไม่ได้..ดังนั้นถ้าคิดได้แล้วไม่ควรรอช้าไปพบหน้าเซลล์เลย

ทาง นาย ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิส โก้ อีกหนึ่งสถาบันการเงินที่หันมาจับธุรกิจ เช่าซื้อรถยนต์ กล่าวว่า แนวโน้มของกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์นั้นคงจะต้องมีการปรับดอกเบียเพิ่มขึ้น 0.1-0.15% จากฐานเดิมที่อยู่ในช่วง 2.25-2.35% ที่เป้นผลมาจากต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคู่แข่งรายใหม่ๆที่เข้ามาทำตลาด

"ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยถูกส่งท้าย ก่อนที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ทำให้ภาพรวมในตลาดรถใหม่ปีนี้มีการเติบดตสูง โดยเฉพาะกลุ่มรถเล็กและรถประหยัดพลังงานค่อนข้างมีมาก รวมถึงการจัดโปรโมชั่นที่โดนใจลูกค้าด้วย

ด้าน นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปีหน้าดอกเบี้ยลีสซิ่งน่าจะมีการปรับขึ้น โดยคาดว่าปีหน้าดอกเบี้ยจะมาแข่งขันในกรอบ 2.0-2.5%

นี่เป็นกระแสที่สำคัญมากสำหรับใครที่กำลังอยากจะซื้อรถใหม่ เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่มันเป็นช่วงเวลาดีๆ นาทีทองของคุณในการซื้อรถยนต์คันใหม่ มาขับเล่นเที่ยวช่วงปีใหม่ ที่แม้ดอกเบียอาจจะขยับ เพียง 0.1-0.2% แต่ลองคิดเล่นๆว่า 100 = 20 สตางค์ แล้วรถราคาเป็นแสนเป็นล้านคุณจะประหยัดได้อีกเท่าไร
MKT Team
เรื่องของหลักการขับรถ ในทางโค้งที่ถูกต้องและปลอดภัย

ลักษณะของการหลุดโค้ง ก็จะมีอยู่สองแบบ คือ การหลุดโค้งไปทางซ้าย-หลุดโค้ง
ไปทางขวา เพราะการหักเลี้ยวในมุมที่มากกว่าปกติ ถ้าเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ก็
จะทำให้ท้ายรถสะบัดออกไปชนแผงกั้นถนน หรือไม่ดีตัวรถนั้นก็พุ่งออกนอกโค้งไป
เลย ดังที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ และการบังคับพวงมาลัย จะต้องสัมพันธ์กับความเร็ว มี
การจับที่กระชับ ถนัดมือ ถ้าจับพวงมาลัยด้วยความเกร็ง หรือแน่นเกินไปก็จะทำให้
บังคับเลี้ยวได้ไม่ดีนัก หรือถ้าผ่อนเกินไปก็ไม่สามารถควบคุมแรงเหวี่ยงของรถได้
เหมือนกัน ส่วนความเร็วที่พอเหมาะกับการเข้าโค้งนั้นก็สำคัญเช่นกัน จึงมีสูตรที่
นักขับขี่ เรียกกันติดปากว่า การเข้าโค้งนั้นจะต้อง “เข้าให้ช้า - ออกให้เร็ว”

การเข้าให้ช้า นั้นก็คือ ขณะที่เรากำลังจะเข้าโค้งนั้น ทัศนวิสัยของเราจะต้องเห็น
ถึงปลายโค้ง และประเมินเอาว่า โค้งนี้น่าที่จะใช้ความเร็วเท่าใดจึงจะเหมาะสมและ
ปลอดภัย แต่บางครั้งก็มีโค้งบอด ซึ่งมองไม่เห็นทางข้างหน้า ก็ต้องใช้ความระมัด
ระวังเป็นพิเศษ หรือบางครั้ง เสา A (A Pillar) ของโครงรถเรา ก็มักบดบังทัศนวิสัย
ในการเข้าโค้งของเราเสียเอง แนะนำว่า ให้เราปรับการมองโดยอาศัยการมองโค้ง
ผ่านทางกระจกข้าง จะช่วยได้เยอะครับ หลังจาก ประเมินลักษณะโค้งแล้ว จากนั้น
ให้ลดความเร็วลง สมมุติว่าโค้งนี้น่าจะใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กม/ชม ก็ให้แตะเบรก
และลดความเร็วเหลือ 40 จริงๆถ้ายังขับอยู่ที่เกียร์ 4 ก็ให้มาอยู่เกียร์ 3 หรือ 2 แทน
จากนั้นบังคับรถให้วิ่งอยู่ในเลนของตนเองครับ

ซึ่งระหว่างที่อยู่ในโค้ง ก็อย่าพยายามเร่งคันเร่ง เพราะอาจจะทำให้รถเสียหลักเสีย
การควบคุมได้ จนหลุดโค้ง หรืออาจพลิกคว่ำได้ครับ หรือหากมีป้ายบังคับความเร็ว
ของกรมทางหลวงติดเอาไว้ก่อนถึงโค้งถ้าป้ายจำกัดไว้ที่ 40 กม/ชม ก็ขอให้ปฏิบัติ
ตามจะดีกว่าครับ

การออกให้เร็ว จะเกิดหลังจากที่เรากำลังจะออกโค้งสู่ทางตรงแล้ว ก็ให้เพิ่มอัตรา
ความเร็วรอบสูงสุด หรือเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นตามลำดับ รถก็จะออกโค้งสู่ทางตรงได้
อย่างปลอดภัยครับ อีกทั้งให้ระวังรถที่วิ่งเข้ามาในเลนสวนและอย่าขับรถไปในเลน
สวนนั้น เพราะว่ารถที่สวนทางมาไม่สามารถมองเห็นรถที่วิ่งไปได้ ซึ่งทำให้เกิดการ
ชนประสานงาได้

ยิ่งในช่วงหน้าฝน มักมีอุบัติเหตุตามโค้งให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ผู้ขับขี่จึงต้อง
ระมัดระวังมากเป็นพิเศษครับ การเข้าให้ช้า ออกให้เร็ว เป็นหลักการที่นายทีก็ยังใช้
อยู่ทุกวัน ซึ่งถ้าบวกกับความระมัดระวังในการควบคุมรถ และก็ไม่ขับขี่ด้วยความคึก
คะนองด้วยเนี่ย จะเป็นเกราะป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างดีทีเดียวครับ
MKT Team
มีวงเลี้ยวที่ผิดปกติ - ถ้าปกติเวลาจะเลี้ยวรถตามโค้งต่างๆ รถก็มักจะอยู่ในเลนส์
เสมอๆ แต่ถ้าคุณเจอใครที่มีวงกว้าง ที่แคบ-กว้างเกินปกติหรือดูยังไงคนเพิ่งหัดขับ
ก็น่าจะเลี้ยวได้ดีกว่านี้ล่ะก็ นั่นคือสัญญาณแรก

ขับรถคร่อมเลนตลอดเวลา - แปลกนะครับ แค่เลนถนนนั้นก็มีความกว้างพอที่รถ
คันหนึ่งจะขับได้อยู่แล้ว ถ้าเห็นคนขับคร่อมถนนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ลองบีบแตร
เตือน ให้เค้ารู้สึกตัวหน่อยก็ดีครับ

เบรกเอี๊ยด – จู่ๆ พี่แกก็นั้นเบรกรถกะทันหัน โดยไม่มีสาเหตุครับ เพราะถนนก็โล่ง
สุนัขก็ไม่ได้วิ่งตัดหน้า เรียกว่าทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังว่างั้นเถอะ

เลี้ยวรถกระทันหัน - อยู่ดีดีจะเลี้ยวก็เลี้ยว ไม่มีท่าทีที่รถชะลอ อาจทำให้รถปัดจน
เกิดอุบัติเหตุได้ เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้ เมาชัวร์!!

ขับเร็วและหวาดเสียวมาก - บางคนเมาแล้วเท้าหนักครับ และเหยียบคันเร่งหนัก
และบังคับพวงมาลัยฉวัดเฉวียนโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าบางที ภาพที่คนเมาเห็น จะยัง
เห็นว่ารถนั้นวิ่งช้าอยู่ และตนเองนั้นก็ยังขับดีอยู่ ซึ่งจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิด
อุบัติเหตุเลยครับ

ตอบสนองต่อไฟจราจรช้า - เอาง่ายๆว่าไฟเขียวจนจะแดงอีกรอบแล้วก็ยังคงนิ่ง
อยู่ที่เดิม บีบแตรก็แล้ว ยังไม่ไป ประเภทนี้ออกแนวหลับมากกว่าครับ

ขับรถสวนเลน - อันนี้ก็อันตรายมากครับ แน่นอนเลยว่าไม่มีคนปกติที่ไหนกล้าทำ
แบบนี้แน่ ขับแบบนี้จะเมาหรือคึกคะนอง ก็ต้องหลีกเลี่ยงเลยครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก พวกเราชาวบัสส์ ครับผม