MKT Team
รถมือสอง : ซื้อง่ายแต่เลือกยาก

เมื่อคุณคิดจะซื้อรถมือสอง ข้อดีของรถมือสอง คือ ราคาถูก แต่ท่านควรตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด เพราะรถที่ถูกใช้งานมาแล้วล้วนมีความเสี่ยงต่อสภาพความสึกเหรอของเครื่องยนต์ หากจะซื้อรถมือสองควรตรวจสอบอะไรบ้าง

1. สุมดประวัติประจำรถ
มักไม่ค่อยมี เพราะเจ้าของรถไม่พิถีพิถัน แต่ถ้ามีก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยม เพราะสมุดประวัติประจำรถทำให้รู้ว่าเขาตรวจซ่อมอะไรมาบ้าง ตรวจทุกระยะประจำหรือเปล่า

2. เจ้าของรถ
คุณควรดูเจ้าของรถคันเดิมว่าเขาเป็นใครใช้รถอย่างไรดูแลรถหรือไม่ มีคนกล่าวว่า ไม่ควรซื้อรถต่อจากวัยรุ่น ผู้หญิง และคนชรา เพราะว่าทั้งสามประเภทนี้ ใช้รถอย่างเดียวไม่ค่อยดูแลรถที่ใช้อยู่

3. มือที่เท่าไหร่
ก็คือรถคันนี้มีคนเป็นเจ้าของมามากน้อยเพียงใด ถ้าผ่านมาแล้วหลายมือก็ควรไม่ซื้อ เพราะรถอาจจะมีปัญหาได้

4. ตัวเลขระยะทางการใช้รถ
ในการซื้อรถคุณควรดูเลขตัวไมล์โดยปกติการใช้รถไม่ควรจะมากกว่าสามหมื่นกิโลเมตรต่อปี
หากมากไปกว่านี้ถือว่ามากอาจทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้งานหนัก

5. สภาพภายใน
หมายถีงเบาะนั่ง ระบบไฟฟ้าต่างๆ ต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม สภาพดีมาก ดีน้อย ย่อมแล้วแต่ผู้ใช้และการดูแลรักษา

6. สภาพภายนอก
ควรดูสภาพตัวถังมีผุพัง สีถลอกปอกเปิก กันชนบุบ ตัวถังงอ ประตูตก บ้างหรือไม่

7. ทำสีมาหรือเปล่า
รถที่ต้องทำสีใหม่ คือ รถที่เก่ามากอายุควรจะเกิน 15 ปีขี้นไป หากทำสีก่อนหน้านั้นก็เท่ากับว่ารถไม่ได้รับการดูแล ในการทดสอบว่าไปทำสีมาหรือเปล่า ก็ลองเคาะเบาๆ ด้วยสันมือ ถ้าเสียงโปร่งก็สีเดิม ถ้าเสียงทึบบ้างโปร่งบ้าง ก็ทำบางส่วน ถ้าทึบหมดก็ทำทั้งคันรถทำสีใหม่สีจะไม่ทน อาจซีด หรือด้านหรือโปร่ง ภายในสองสามปีเป็นอย่างมาก

8. ประวัติรถ
หากสามารถรู้ประวัติการใช้รถของเจ้าของเดิมมาบ้างก็จะดี เพราะจะได้รู้ว่าเจ้าของรถคนเก่าเคยนำรถไปใช้อย่างไร เช่น ไปชนคนตายมาก่อนหรือเปล่า เคยนำรถไปใช้ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเปล่า เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนน่ากลัวหรือเปล่า ส่งเหล่านี้เราต้องสืบหาเอาเอง

9. ซื้อรถจากเจ้าของดีกว่าซื้อจากเต้นท์รถหรือพ่อค้าคนกลาง
ถ้าซื้อรถจากพ่อคนกลาง พ่อค้าคนกลางอาจโอนเป็นชื่อของตนเองหรือโอนลอยไว้ พวกนี้จะเอาของดีๆ ออกจากตัวรถก่อนจะขาย ก็ได้ เช่น เครื่องเสียง อุปกรณ์ความปลอดภัย อุปกรณ์ประกอบรถอื่นๆ ที่พอจะนำไปขายแยกได้ ส่วนเต๊นท์รถนั้นก็คือพ่อค้าคนกลางเหมือนกันแต่เจ้าเล่ห์มากกว่า และมักจะขายราคาแพงกว่าท้องตลาดประมาณ 25,000-50,000 บาทต่อคัน เวลาจะซื้อรถคุณควรดูให้มั่นใจเสียก่อน ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

10. หากซื้อรถจากเต้นท์จะต้องนำรถออกทันที
คุณอย่าไปวางเงินแล้ววางใจ ไม่อย่างนั้น เครื่องเสียง ล้อแม็กซ์ ยาง เครื่องยนต์ และอื่น ของคุณอาจจะถูกเปลี่ยนไป โดยที่คุณเองก็อาจทำอะไรก็ไม่ได้

11. ต้องรีบโอนรถให้เรียบร้อย
ถ้าคุณซื้อรถจากเจ้าของแล้วควรนำรถออกทันที แต่ถ้าซื้อรถจากเต๊นท์จะต้องทำสัญญาซื้อขายให้ดี ขอใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อย ถ้านัดไปโอนทะเบียบภายหลังจะต้องกำหนดเวลาการโอนในสัญญาซื้อขายอย่างแน่นอน
MKT Team
+ บางคนเมิน บางคนเบื่อ หรือหลายคนไม่ใส่ใจ ที่จะอ่านบทความเรื่องอย่างนี้ 
 เพราะมีในหลายสื่อมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้...ครบทุกด้าน ใช้งานได้จริง ! + หลายคนก็คิดง่ายๆ ว่า ขับช้า...ก็ประหยัด จึงไม่สนใจจะรู้เทคนิคการขับประหยัดที่แท้จริง + หลายคนเมินการอ่านบางบทความ เพราะมีแต่เรื่องพื้นๆ + แต่ครั้งนี้พยายามรวบรวมให้ครบทุกแง่มุม และเป็นชีวิตจริง
มนุษย์มักทำอะไรด้วยความคุ้นเคย และเปลี่ยนแปลงยาก ถ้าทำต่อเนื่องมานาน

ลักษณะการกดคันเร่ง เร็ว-ช้า ที่แตกต่างกันในแต่ละคน ล้วนทำจนชิน เพราะคนส่วนใหญ่ ขับรถมาหลายปี

พิสูจน์ได้จากรถรุ่นใหม่ คันเร่งไฟฟ้า-ไม่มีสายสลิง ปัจจุบันมีกล่องฯ พ่วงแต่งสัญญาณขาย แตะคันเร่งนิดเดียวหรือเท่าเดิม แล้วลิ้นปีกผีเสื้อ
เปิดมากขึ้น ก็หลอกความรู้สึกว่ารถแรงขึ้นได้ ทั้งที่ถ้าอยากแรงก็กดคันเร่งลึก-เร็วขึ้น ก็เหมือนใช้กล่องหลอกสัญญาณคันเร่ง

ล้างรถ

อย่าคิดว่าไม่เกี่ยว เพราะผิวสีลื่นมีแรงเสียดทานของลมน้อยกว่า 
คิดง่ายๆ ว่าลู่ลมกว่า แม้ไม่เห็นผลเป็นหลายเปอร์เซ็นต์ แต่รถสะอาดผิวลื่น ย่อมมีผลบวกทางหลักอากาศพลศาสตร์ แนะนำล้างรถ 3-4 วันครั้ง 
เย็นวันอาทิตย์ และเย็นพุธ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ใช้รถสะอาดได้ 3-4 วัน

การดูแลรถสำคัญ

ใครๆ ก็บอกว่าต้องดูแลรถ แต่น้อยคนที่จะลงรายละเอียดลึกๆ ละเลยแค่ไส้กรองอากาศตัน หายใจไม่เข้า ก็ต้องกดคันเร่งลึกขึ้น เมื่อต้องการเร่ง

คนไทยหลายคน ใช้รถแบบไม่พัง...ไม่เช็ค ใช้รถเหมือนใช้ชีวิต ไม่ป่วย
ก็ไม่ตรวจสุขภาพ ควรเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะทางที่กำหนดในคู่มือประจำรถ (ซึ่งหลายคนก็ไม่เคยอ่านจบเช่นกัน) ไม่ฝืนดันทุรังใช้จนรถพัง ซึ่งจะส่งผลเสียลามไปถึงชิ้นส่วนอื่นๆ อีกด้วย เช่น สายพานไทมิ่งราคาหลักพัน ก็ไม่ยอมเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด หากสายพานฯ ขาดระหว่างทาง จะส่งผลถึงลูกสูบ ก้านสูบ วาล์ว ฯลฯ เสียเงินรวมเป็นหลักหมื่น
น้ำมันเครื่อง

โดยตรวจดูจากก้านวัดให้ระดับน้ำมันเครื่องไม่ต่ำกว่าขีดล่าง และสี
ไม่ดำมาก เปลี่ยนถ่ายโดยใช้เกรดตรงรุ่น เลือกกึ่งสังเคราะห์ขึ้นไป ช่วงนี้ลิตรละ 100 กว่าบาท ไม่แพง เลือกเบอร์ SAE ใสที่สุดเท่าที่จะไม่เกิดปัญหาและ
อยู่ในขอบเขตที่กำหนดในคู่มือ ปัญหาเมื่อน้ำมันเครื่องใสเกินไป คือ 
กินน้ำมันเครื่องเร็ว ควันขาว เสียงดัง เลือกโดยดูเลข 2 ตัวหลัง (ซึ่งวัดที่ 
100 องศาเซลเซียส เหมือนหมุนเวียนในเครื่องยนต์) เช่น 30 40 50 เลขน้อยใส-เลขมากหนืด ไม่ใช่ดูตัวเลขหน้า W เพราะนั่นวัดที่ -18 องศาเซลเซียส

การใช้น้ำมันเครื่องที่ข้นหรือหนืดมากหน่อย แต่อยู่ในขอบเขต ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากจะกินเชื้อเพลิงเพิ่มเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป หลังถ่ายน้ำมันเครื่อง ควรเติมใหม่ในปริมาณพอดีขีดบนสุด เพราะหากเติมมากเกิน จะทำให้ระดับน้ำมันเครื่องไปเพิ่มแรงเสียดทานการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ดังนั้นควรเติมให้พอดีที่กำหนด และเปลี่ยนไส้กรองฯ ตามระยะ 
ถ้าใช้งานไปแล้ว น้ำมันเครื่องพร่อง แต่ไม่ใกล้ขีดล่าง ก็ไม่จำเป็นต้องเติม



เชื้อเพลิง

เลือกที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ไม่เติมน้ำมันออกเทนต่ำกว่ากำหนด เพราะเสี่ยงพัง ส่วนการเติมออกเทนสูงกว่ากำหนด ทดลองได้ และควรวัดอัตรา
สิ้นเปลืองรถของตนเทียบในแต่ละออกเทนหรือแต่ละชนิด สมมุติออกเทน 95 แพงกว่า แต่อาจได้ระยะทางมากกว่าในรถบางคัน

ส่วนการเลือกพลังงานทางเลือก เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล อาจต้องสนใจสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ เช่น เกษตรกรด้วย ไม่ใช่สนใจเฉพาะราคาและ
ค่าใช้จ่ายต่อระยะทาง เช่น สมมมุติ อี20 กินกว่า ได้ระยะทางต่อลิตรสั้นกว่า 5-8 % แต่ราคาต่อลิตรถูกกว่า แม้คำนวณเป็น กม./ลิตร อาจแพงกว่าแก๊สโซฮอล์ อี10 ถ้าไม่ต่างมากนัก ก็แนะนำอี20 เพราะดีต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากตอนนี้เอธานอลผลิตจากพืชผลในประเทศ



ลมยาง...สำคัญ

เพราะยางกลมกลิ้งง่ายกว่ายางแบน เปรียบเทียบกับลูกโป่งที่มีน้ำหนักกดแล้วต้องกลิ้ง ดังนั้นผู้ใช้รถควรเติมลมยางให้กลมพอดี ตัวเลข 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ไม่ใช่มาตรฐานเสมอไป มักเป็นค่าประมาณ

การเติมลม ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเลขที่แนะนำจากคู่มือ ใช้เป็นแค่จุดเริ่มต้นได้ เพราะบริษัทรถต้องกำหนดตัวเลขแรงดันลมเผื่อไว้สำหรับคนที่ไม่อยากค้นหาค่า ที่เหมาะสมที่สุดกับตนเอง

ค่าแรงดันลมยางที่บริษัทรถแนะนำมักไม่ใช่ค่าที่ดีสุดเสมอไป แต่เป็นค่าที่ไม่มีปัญหาแน่ๆ และมักจะเป็นแรงดันลมที่อ่อนกว่าการจะทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด เนื่องจากบริษัทรถต้องการให้ประทับใจในความนุ่มนวล กินน้ำมันขึ้นนิดเดียว คนขับไม่รู้สึกมากนัก แต่ถ้ากำหนดค่าแรงดันลมยางมากขึ้น รถอาจจะกระด้างขึ้น จนคนขับรู้สึกได้ เกิดกระแสติติงทางลบปากต่อปาก ส่งผลถึงยอดขายอีกด้วย

นอกจากนั้นเกี่ยวข้องกับโครงสร้างยางด้วย ยี่ห้อยางหรือรุ่นต่างกัน 
แม้มีขนาดเดียวกัน อาจต้องเติมลมต่างแรงดันกัน ควรเริ่มต้นจากค่าที่บริษัทรถแนะนำ แล้วเติมเพิ่มหรือลดทีละ 2-3 ปอนด์ฯ ทดลองขับดูนานๆ ถ้าเน้นความประหยัด แรงดันลมสูง-ยางกลมขึ้น ย่อมประหยัดกว่า ทดลองเติมลมให้ยางแข็งจนกว่าจะรู้สึกกระด้าง โดยทั่วไปพบว่าเติมได้มากกว่าสเปคประมาณ 2-5 ปอนด์ โดยไม่รู้สึกกระด้าง

ยางแข็งกว่าปกตินิดๆ ดีกว่าอ่อนกว่าปกติ เพราะวงยางกลมกลิ้งง่าย แก้มไม่ย้วย ยางไม่ร้อน ส่วนยางลมอ่อนวงไม่กลม ยืด-ยุบตัวบ่อยๆ แก้มย้วยเกิดความร้อนในตัวเอง เสี่ยงต่อการระเบิดมากกว่ายางลมแข็ง อย่าเข้าใจผิดว่ายางเป็นลูกโป่งบางๆ เพราะยางมีหลายชั้นและการกลิ้งต้องยืด-ยุบตลอดเวลา

ค่าแรงดันลมที่เหมาะสมจริงๆ ต้องทดลองหาเอง มักบวก-ลบจากสเปคไม่เกิน 5 ปอนด์ฯ และเมื่อเปลี่ยนรุ่นยางหรือขนาด ต้องทดลองหาค่าแรงดันที่เหมาะสมกันใหม่



ล้อแม็กวงโต

มักต้องใส่ยางหน้ากว้างขึ้น ผิวสัมผัสกว้างขึ้นก็ทั้งเกาะถนนและเพิ่มแรงเสียดทาน มีผลต่ออัตราสิ้นเปลือง อีกทั้งถ้าน้ำหนักรวมเพิ่ม ก็มีผลเช่นกัน



เลี่ยงการบรรทุกของไม่จำเป็น

ไม่ว่ากี่กิโลกรัม ก็กินเพิ่มทั้งนั้น แต่ยางอะไหล่...จำเป็น



การอุ่นเครื่อง

ลืมคำแนะนำยุคเก่าที่บอกว่าให้อุ่นจนเครื่องยนต์ร้อนแล้วค่อยออกตัว เพราะจะกินน้ำมันจากการติดเครื่องทิ้งไว้ เครื่องรุ่นใหม่มีวาล์วน้ำ และมี
การควบคุมพัดลม เร่งให้เครื่องอุ่นได้ไว ไม่จำเป็นต้องติดเครื่องนานๆ

หากเริ่มใช้รถขณะเครื่องเย็นเฉียบ ให้จอดเดินเบา 15-30 วินาที แล้วขับย่องๆ ไม่เกะกะใครสัก 1-2 กม. เครื่องก็ร้อนพร้อมขับปกติแล้ว นึกถึงคนออกวิ่ง ถ้าวิ่งอยู่กับที่ ก็นานกว่าจะพร้อม แต่วิ่งอยู่กับที่นิดเดียว แล้วออกไปวิ่งเหยาะๆ ไม่นานก็วิ่งเร็วได้

ถ้าจอดแล้วจะมาขับใหม่ ถ้าเครื่องอุ่นๆ อยู่ ไม่ต้องรอ เพราะกว่าจะคาดเข็มขัดนิรภัย และตรวจสอบอื่นๆ ไม่เกิน 15 วินาทีก็ออกตัวและขับตามปกติได้



กดคันเร่ง... นิ่มๆ นิ่งๆ

นิ่มนิ่ม นิ่งนิ่ง 4 คำนี้ชัดเจน แต่ต้องตีความให้ชัด

นิ่มๆ คือ เมื่อต้องการเพิ่มความเร็ว ให้ค่อยๆ ไล่กดคันเร่งช้าๆ อย่าง...นิ่มๆ เมื่อทำความเร็วได้ถึงที่ตั้งใจ ให้แตะคันเร่งไว้..นิ่งๆ

อย่าเข้าใจผิดแกว่งคันเร่งเบาๆ ถี่ๆ ว่าเร่งแล้วผ่อนจะช่วยประหยัด 
แบบคนขับแท็กซี่บางคน ที่เร่งแล้วผ่อนสลับกันต่อเนื่องจนหัวผงก เพราะการขับความเร็วคงที่ด้วยคันเร่งนิ่งๆ จะประหยัดน้ำมันที่สุด




ความเร็ว ตีความให้ชัด...ไม่ใช่ขับช้า

เกี่ยวข้องกับลักษณะการกดคันเร่ง แม้จะบอกว่าตนเองขับด้วยความเร็วเดินทางแค่ 90 กม./ชม. ทำไมกินน้ำมันมากจัง อาจเป็นเพราะเมื่อจะเพิ่มความเร็วกลับขึ้นไปครั้งใด จะกดคันเร่งพรวดพราดเพื่อกลับไปความเร็วนั้น แต่อีกคนชอบขับที่ 100 กม./ชม. เร็วกว่า แต่อาจกินน้อยกว่า เพราะเลี่ยงเบรกบ่อย และเมื่อไรที่ต้องไต่ความเร็วกลับไป จะกดคันเร่งนิ่มๆ ช้าๆ

ยิ่งเร็ว ยิ่งกิน แต่ช้าแล้วต้องปลอดภัย ไม่ขวางใคร รถต้องเคลื่อนที่ฝ่าลมและหนีแรงดึงดูดของโลก เครื่องยนต์ต้องออกแรงมาก ย่อมกินน้ำมัน ขับเร็ว... ลมยิ่งแข็ง ลองแบมือออกไปนอกกระจกขณะรถวิ่งช้ากับเร็ว รถวิ่งช้าลมยังไม่ต้านมือมาก แต่ยิ่งวิ่งเร็วก็ยิ่งมีแรงต้านลมมากขึ้น เรื่องแรงดึงดูดของโลกกับการออกแรงของรถ ให้นึกถึงคนวิ่งที่ยิ่งจะวิ่งเร็ว ก็ยิ่งต้องออกแรงมากหนีการดึงดูดให้นิ่งติดพื้น



การใช้ความเร็วคงที่

ในการเดินทาง ต้องตั้งใจเอง เช่น จะนิ่งที่ 100 กม./ชม. ก็ทำตามนั้น โดยสามารถจับผิดตนเองและสภาพการจราจรได้ว่า ได้ใช้ความเร็ว...นิ่งจริงหรือเปล่า โดยดูหรือเซตตัวเลขระยะทางบนหน้าปัด กับเวลาบนนาฬิกา เช่น ตั้งใจขับนิ่ง
ที่ 100 กม./ชม. ดุแล้วทุกครึ่งชั่วโมงต้องทำระยะทางได้ 50 กม. ถ้าได้น้อยกว่านั้น แสดงว่าไม่ได้นิ่งจริง และมีการเบรกลดความเร็วแล้วเร่งขึ้นมาบ่อยๆ ระยะทางต่อครึ่งถึง 1 ชั่วโมง จะฟ้องความนิ่งของความเร็วว่าจริงไหม

แนะนำกลางๆ ว่า เดินทางไกลหากเน้นประหยัด ใช้ความเร็วนิ่งๆ ประมาณ 100 กม./ชม. และดูสภาพการจราจรด้วย ขับช้าเน้นประหยัด แต่อันตราย เกะกะคนอื่นหรือรถสิบล้อวิ่งไล่...ไม่แนะนำ

รอบเครื่อง สำคัญ...ไม่แพ้ความเร็ว

รถเกียร์ธรรมดา ลากรอบสูงๆ แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ แม้จะขับเร็วสุดไม่ถึง 100 กม./ชม. จะกินน้ำมันกว่าคนที่ขับเร็วกว่า แต่เปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำๆ 
แบบมีแรง แล้วค่อยไล่ความเร็วขึ้นไปอย่างช้าๆ และอย่าเปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำเกินไป (ต้องทดลอง แล้วแต่รุ่นรถ) เพราะเครื่องจะไม่มีแรง ต้องกดคันเร่งลึกๆ

รถเกียร์อัตโนมัติ การเปลี่ยนเกียร์ขึ้น จะเกิดจากการขยับเท้าขวาขึ้นเพื่อลดการเร่ง เร่งนิ่มๆ แล้วผ่อน เกียร์ก็เปลี่ยนขึ้น ไล่ไปถึงเกียร์สูงสุด แล้วใช้ความเร็วคงที่ ถ้ามีปุ่มโอเวอร์ไดร์ฟ เปิด ON ใช้ไว้เสมอ

รถที่ใช้เกียร์อัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือซีวีที บางคนอาจจะตกใจกับรอบเครื่องที่ขึ้นตามความเร็ว ยิ่งเร็วรอบยิ่งสูงแบบนี้เป็นปกติ

เลี่ยงการเร่งแซงเร็วๆ ด้วยการคิ๊กดาวน์

การลดเกียร์ธรรมดาลงเกียร์ต่ำ หรือกดคันเร่งลึกเพื่อให้ระบบลดเกียร์ต่ำลงในเกียร์อัตโนมัติ (คิ๊กดาวน์) ยิ่งทำบ่อย ก็ยิ่งกินน้ำมัน เพราะรอบเครื่องยนต์กวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรแซงโดยการกดคันเร่งนิ่มๆ ช้าๆ ดีกว่า
เลี่ยงเบรกบ่อย

แต่ต้องปลอดภัย สรุปได้ง่ายๆ ยิ่งเบรกบ่อย ความเร็วลดลง ก็ต้องกดคันเร่งเพิ่มความเร็วกลับขึ้นไปบ่อยๆ แต่ไม่ยอมเบรกจนต้องลุ้นว่าจะชนคันหน้าหรือเปล่า...ไม่แนะนำ เน้นปลอดภัยด้วยการเว้นเผื่อระยะเบรกไว้

หากแยกหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงอยู่ ควรถอนคันเร่ง (แต่ไม่ต้องปลดเกียร์) ปล่อยรถไหลตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่าเร่งแล้วถอนเพื่อเหยียบเบรก รอบจะสวิง
ขึ้น-ลงตลอด ทำให้กินน้ำมัน

แอร์ ควรเปิดแค่เย็นสบาย

ไม่เร่งเย็นสุดหรือใกล้สุด คอมพ์แอร์จะได้ตัดการทำงานบ้าง แม้เครื่องที่มีคอมพ์หมุนตลอดก็ควรทำ แต่ไม่ควรทนร้อนปิดแอร์ตลอด-หวังประหยัด เพราะจะต้องเปิดแง้มกระจก ลมเข้า-รถต้านลมมากขึ้น และคนต้องทนทุกข์กับความร้อน

การจอดบนการจราจร

การดับเครื่องยนต์ขณะจอดบนการจราจร ในเมืองร้อนอย่างไทย คงไม่จำเป็น การปลดเกียร์มาตำแหน่ง N ก็ช่วยประหยัดได้ เพราะกล่องอีซียูจะลดการฉีดน้ำมัน แต่ถ้าจอดไม่นานควรเข้า D และเบรกเตรียมพร้อมขับเคลื่อน ภายในเกียร์จะทนกว่า และร่องเกียร์สึกน้อยกว่าการเลื่อนไปมาระหว่าง N-D อยู่บ้าง

สรุปถ้าเน้นเกียร์ทน คาไว้ D แต่เมื่อจอดนานหน่อย ขี้เกียจเหยียบเบรกหรือดึงเบรกมือ และเน้นประหยัดให้ปลดมาที่ N

เมินอุปกรณ์ช่วยประหยัด

เพราะส่วนใหญ่...หลอกลวงทั้งสิ้น เช่น แม่เหล็กสารพัด หัวเชื้อ เม็ดพิเศษ ฯลฯ หันมาสนพลังงานทางเลือกเช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล แอลพีจี เอ็นจีวี ที่คุ้มค่ากว่า

สุดท้ายขับประหยัด แต่ต้องปลอดภัย !



ขอบคุณแหล่งทีมา www.sanook.com
MKT Team
เป็นอุปกรณ์หนึ่ง ที่มีประโยชน์ต่อการทำงานของเครื่องยนต์ เป็นชิ้นส่วนที่ช่วยทำให้การประจุอากาศเข้าห้องเผาไหม้ (ไอดี)ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ตรงตามความต้องการของเครื่องยนต์มากขึ้น

ขอกล่าวถึงในสมัยก่อนสักนิดหนึ่งว่า ระบบประจุอากาศก็เคยมีมาอยู่บ้างแล้ว ลักษณะหนึ่ง รูปแบบการทำงานจะคล้ายๆกัน อาจแตกต่างทางด้านเทคโนโลยี และส่วนใหญ่ก็จะไม่มีมากับเครื่องยนต์ในประเทศไทย ในขณะนั้น(จะเห็นแถวๆเซียงกง) แถมชื่อเรียกก็แตกต่างกัน ปัจจัยของการทำงานก็ไม่ค่อยซับซ้อนสักเท่าไหร่นัก

ระบบ ACIS ประกอบด้วย แอ๊คซิวเอเตอร์, วาวล์ควบคุมอากาศ, ถังสุญญากาศ เป็นต้น ชิ้นส่วนต่างๆเหล่านี้จะมีการทำงานอย่างสัมพันธ์กันแบบลงตัว โดยมีระบบสูญญากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง หน้าที่การทำงาน คือ ควบคุมการประจุอากาศหรือปริมาณอากาศที่เข้าไปในห้องเผาไหม้ ให้เหมาะสมตรงตามความต้องการของเครื่องยนต์ กลไกการทำงานจะถูกติดตั้งอยู่บริเวณท่อร่วมไอดี ดังนั้นท่อร่วมไอดีในเครื่องยนต์ 2000cc ที่อยู่ในรถยนต์ altis รุ่นก่อนจะไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ตระกูลเดียวกัน และปริมาตรกระบอกสูบที่เท่ากันก็ตาม แต่สำหรับเครื่องยนต์ 1800cc นั้นเป็นเครื่องยนต์ใหม่ไร้ปัญหา

ในขณะที่เครื่องยนต์ในย่านความเร็วต่ำถึงความเร็วปานกลางและภาระมาก สูญญากาศที่เกี่ยวข้องจะเป็นตัวกำหนดการทำงานของระบบ จะสั่งให้วาวล์ acis ปิด ดังนั้น ระยะการไหลของอากาศที่ไหลเข้าห้องเผาไหม้จะมีระยะทางที่ยาว ทำให้ประสิทธิภาพในการประจุอากาศในช่วงความเร็วนั้นและความต้องการในขณะนั้นเหมาะสมกับเครื่องยนต์เป็นที่สุด

ต่อไปในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานทุกสภาวะ(ยกเว้นในช่วงความเร็วต่ำถึงความเร็วปานกลางและมีภาระมาก) สูญญากาศของระบบจะสั่งการให้วาวล์ acis เปิด ดังนั้น ระยะการไหลของอากาศที่ไหลเข้าห้องเผาไหม้มีระยะทางที่สั้นลง ทำให้ประสิทธิภาพในการประจุอากาศเหมาะสมและได้กำลังงานสูง ตามความต้องการของเครื่องยนต์นั่นเอง

นอกจากเครื่องยนต์มีระบบ acis ใน new altis แล้วนั้น ยังมีส่วนที่ทำให้รถยนต์ new altis มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมอีก ได้แก่ ระบบ dual vvt-I , ระบบ etcs-I ,ระบบส่งกำลังแบบ cvt-I เป็นต้น เทคโนโลยี่ต่างๆเหล่านี้มีอยู่ใน โคโรลล่า altisใหม่

เชิญมาสัมผัสตัวรถจริงได้แล้ววันนี้ ทุกโชว์รูมโตโยต้า
MKT Team
สวัสดีปีใหม่ พ.ศ 2554 กันอย่างเป็นทางการกันอีกครั้ง สำหรับเพื่อนๆ ช่วงนี้หลายคนก็เริ่มที่จะกลับสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หารถใหม่อีกครั้ง และแน่นอนว่านอกจากรถใหม่แล้ว รถยนต์มือสองแม้จะด้อยลงไปแต่ก็ยังได้รับความนิยมเหมือนเคย หตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาเมื่อช่วงปลายปีนั้น ที่ส่งผลให้รถจำนวนมากหลายคันจมอยู่ใต้บาดาลและแน่นอนว่า มันย่อมไม่ใช่รถที่คุณควรมองและเลือกหามาใช้เป็นรถคู่ใจคันต่อไป แม้รถพวกนี้หลายๆคันจะซ่อมและวิ่งใช้งานได้ ทว่ามันก็จะมีส่วนอื่นๆที่เสียหายได้ตามมา และเจ้าของรถในเขตที่ประสบภัยหลายคนจึงตัดสินใจขายรถยนต์ และนำมาสู่วงการรถยนต์มืองสอง

อีกครั้งที่นี่เป็นมหาวิปโยคของวงการรถมือสอง เพราะไม่มีใครที่อยากจะใช้รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมและได้รับความเสียอย่างหนัก แต่นี่อาจเป็นโอกาสของใครบางคนที่รู้จักเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสและมันทำให้รถที่ถูกน้ำท่วมหลายคันเข้าสู่เต๊นท์รถมือสอง

นี่เป็นข่าวล่ามาเร็ว และเราอยากให้หลายคนที่กำลังมองหารถมือสองคันใหม่มาขับได้รู้ เพราะเราไม่แน่ใจว่าคุณอาจจะเจอแจ๊คพอทหรือไม่ และวันนี้เราจะพาไปรู้จักรถมือสองที่ถูกน้ำท่วมว่าดูอย่างไรจึงจะรู้

1.จับจุดตัวถัง สิ่งแรกที่เราสามารถเห็นได้และพอที่จะเดาประวัติว่ารถคันนั้น ถูกน้ำท่วมมาหรือไม่ควร เริ่มจากที่ตัวบอดี้รถกันก่อน ซึ่ง หากมีจุดที่ผุหรือเกิดสนิมในบริเวณที่ไม่ควรจะเกิด ให้สันนิษฐานกันก่อนเลยว่า รถคันดังกล่าวนั้นถูกน้ำท่วมมา โดยดูจากรอยจะเข็บตัวถัง ในจุดต่างๆ โดยเฉพาะ ใต้ท้องรถ อันนี้ของมันฟ้องกันอยู่แล้ว ดูได้ง่ายๆไม่ยาก โดยเฉพาะในพวกชุดช่วงล่างหรือใต้ท้อง ยิ่งแชสซีนี่ใช่เลย

2. กลิ่นห้องโดยสาร ตามปกติแล้วบรรดาผู้จัดจำหน่ายรถยนต์มือสองในปัจจุบันจะมีการปรับปรุงรถก่อนมาตั้งจำหน่าย และแน่นอนว่า มันยากที่จะทำให้เรารู้ว่า รถยนต์คันดังกล่าวนั้นถูกน้ำท่วมมาหรือไม่ ซึ่งตามปกติแล้ว เบาะ พรม และทุกอย่างจะถูกนำออกไปซัก เพื่อขจัดคราบต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะจำกัดคือ กลิ่นในห้อง โดยสาร ที่จะติดรถอยู่อย่างนั้น เนื่องจากน้ำที่ท่วมนั้นเป็นน้ำโคลน กลิ่นต่างๆจะอยู่เป็นเวลานานและถือเป็นหลักฐานที่สำคัญ

3. เครื่องยนต์ช่วยชี้แนะ เครื่องยนต์เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญในการบ่งบอกประวัติรถยนต์คันนั้น และกับในกรณีน้ำท่วมเช่นกัน ที่เครื่องยนต์คงจะถูกยกออกมาถอดประกอบเพื่อล้างไส้ในจากน้ำโคลนที่เข้าไป แต่หลายๆอู่ มักจะไม่นิยมเปลี่ยนน๊อตตัวเครื่องยนต์ใหม่สักเท่าไรนัก และ เมื่อเหล็กอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ น๊อตก็จะเป็นสนิมหรือมีร่องรอยการยากาวในการถอดประกอบเครื่อง โดยเฉพาะ ส่วนฝาสูบ หรือไม่ถ้ามีความรู้สึกว่าเครื่องยนต์มันดูใหม่เกินไปนั้น ให้ลองดูอย่างละเอียดดี เพราะบางครั้ง เขาก็ใช้วิธีเปลี่ยนเครื่องเอาก็เป็นไปได้

4. ระบบไฟฟ้า อีกประการที่แก้ไม่จบ น้ำกับไฟฟ้าไม่ใช่ของถูกกัน และแน่นอนว่า มันหมายถึงระบบไฟฟ้าภายในรถที่อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ปัจจุบันถือว่าละเอียดอ่อนมาก และถ้ารถคันดังกล่าว มีอาการประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อย่าง กระจกไฟฟ้า แล้วทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง อันนี้สันนิษฐานได้ว่า อาจเคยจมน้ำมา เนื่องจากความชื้นที่ยังจับตัวแน่นในแผงวงจรทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ และมันมักจะทำให้รถคันดังกล่าว มีปัญหาแบบแปลกๆ

ทั้งหมดนี้เป็นหลักการเบื้องต้นในการดูรถมือสอง ว่าจมน้ำมาหรือไม่ เพราะรถเหล่านี้ ถ้าซ่อมมาไม่ถึงก็จะไม่จบ แม้จะไม่ใช่รถอุบัติเหตุก็ตาม อย่างไรก็ดีการซื้อรถมือสอง ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรจะให้ผู้ชำนาญการไปร่วมในการพิจารณา ก่อนการตัดสินใจการซื้อรถ