MKT Team

คำถามคำตอบต่อไปนี้จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจถึงการดูแลรักษายางอย่างถูกวิธี

  1. ยางที่ใช้อยู่ควรจะเติมลมกี่ปอนด์ ?

    การเติมลมยางให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือสิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดของการดูแลรักษายาง ยางที่ใช้อยู่ควรสูบลมให้ได้ตามอัตราสูบลมที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนไว้ โดยปกติแล้วอัตราสูบลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิดที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้นั้น จะระบุไว้ในแผ่นโลหะ หรือสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณสันประตูหรือเสากลางข้างตัวรถ หรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ นอกจากนั้น ยังมีระบุไว้ในหนังสือคู่มือการใช้รถอีกด้วย แต่หากท่านมิได้ใช้ยางขนาดเดียวกันกับยางที่ติดรถมา ท่านควรขอคำแนะนำเกี่ยวกับอัตราสูบลมยางที่เหมาะสมจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตรฐาน

    สำหรับยางอะไหล่ ท่านควรสูบลมไว้ให้มากกว่ามาตรฐาน 3 – 4 ปอนด์ และลดลงให้กลับสู่อัตราปกติ เมื่อนำไปใช้งาน
  2. การใช้ลมอ่อนเกินไปจะมีผลอย่างไรต่อยางที่ใช้อยู่ ?

    การใช้ยางที่สูบลมไว้ต่ำกว่าอัตราที่เหมาะสมถูกต้อง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ลมอ่อนเกินไปนั้น นับเป็นศัตรูตัวสำคัญต่ออายุการใช้งานของยางทีเดียว อีกทั้งยังจะส่งผลเสียอย่างมากต่อยางที่ใช้อยู่ ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักจะลดน้อยลงกว่ามาตรฐานและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
  3. ควรตรวจเช็คลมยางเมื่อไร ?

    ท่านควรตรวจสอบเช็คลมยางสม่ำเสมอประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือทุกครั้งก่อนเดินทางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ กล่าวคือวิ่งมาไม่เกิน 1.5 – 2.0 กิโลเมตร เพราะขณะที่รถวิ่งนั้นความดันลมในยางจะเพิ่มขึ้นตาม อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากท่านทำการตรวจเช็คอัตราลมในขณะนั้น ก็จะได้ค่าที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรตรวจเช็คอัตราลมในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ หรือประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงหลังการใช้งาน

    ท่านไม่ควรใช้วิธีสังเกตด้วยตาว่า ลมยางของท่านอ่อนเกินไปหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากยางที่ท่านกำลังใช้อยู่เป็นยางเรเดียล ท่านควรตรวจเช็คลมโดยให้เกจ์วัดลมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากสร้างสรรพสินค้า หรือตามร้านจำหน่ายยางที่ได้มาตรฐาน
  4. ทำไมถึงต้องมีการสลับยาง

    วัตถุประสงค์หลักของการสลับยาง ก็เพื่อให้ยางทุกเส้นมีการสึกที่เท่ากัน ดังนั้นท่านควรศึกษาคู่มือการใช้รถเกี่ยวกับคำแนะนำในการสลับยาง ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่านควรสลับยางทุกๆ 9,000 – 13,000 กิโลเมตร หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ท่านควรจะสลับยางในทันทีที่ท่านใช้รถครบ 10,000 กิโลเมตรแรก

    หากยางเกิดการสึกที่ไม่สม่ำเสมอ ท่านควรรีบปรึกษากับร้านผู้ชำนาญงานเพื่อตรวจเช็คศูนย์ล้อ ถ่วงล้อ ตลอดจนระบบช่วงล่างโดยทันที

    โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ มักจะแนะนำให้เติมลมยางล้อหน้า และล้อหลังต่างกัน ดังนั้นเมื่อสลับยางเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านก็ต้องปรับระดับความดันลมของยางล้อหน้า และล้อหลังให้ถูกต้อง
  5. ทำไมต้องมีการถ่วงล้อ

    หากเกิดการกระจายน้ำหนักไม่ถูกต้องของยางและกะทะล้อ จะก่อให้เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นขณะที่รถวิ่ง อันจะมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยาง ระบบช่วงล่างของรถ ตลอดจนความสะดวกสบายในการขับขี่ การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักที่ถูกต้องของยาง และกะทะล้อ ซึ่งการถ่วงล้อก็สามารถกระทำได้ โดยเพิ่มน้ำหนักลงไป ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ขอบกะทะล้อ
  6. เมื่อไหร่จึงควรจะถ่วงล้อ

    ยางและกะทะล้อควรส่งเข้ารับการบริการถ่วงล้อในทันทีที่ เมื่อมีการเปลี่ยนยางใหม่เมื่อมีการสลับยาง สลับกะทะล้อ เมื่อนำยางที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่เมื่อยางแตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อย เมื่อมีการถอดยางออกจากกะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง เมื่อเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ท่านควรส่งรถเข้ารับบริการถ่วงล้อจากร้านยางที่ได้มาตราฐานเท่านั้น
  7. การตั้งศูนย์ล้อคืออะไร

    การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบังคับเลี้ยวระบบช่วงล่างล้อ และยาง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้รถวิ่งได้ตรงไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้น มีชิ้นส่วนต่างๆ มากมาย ที่มีการเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมจะมีการสึกหรอเกิดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเป็คที่ถูกต้อง

    ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเป็คของรถ นอกจากนั้น ศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนน และการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย กล่าวคือ เมื่อรถถูกใช้งานนานขึ้น คอยส์สปริง บุช ลูกยางต่างๆก็เริ่มหมดอายุ ความสูงและการกระจายน้ำหนักของรถก็ผิดไปจากมาตราฐานเดิม อันจะส่งผลให้ศูนย์ล้อผิดพลาดไปจากสเป็ค เมื่อใดก็ตามที่ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเป็คล้อรถกับตัวถังหรือล้อข้างซ้ายกับล้อข้างขวาก็จะไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน จะเป็นผลให้รถวิ่งไม่ตรงหรือเกิดอาการแฉลบ หรือพวงมาลัยดึงไปข้างใดข้างหนึ่งทำให้ยางสึกผิดปกติ
  8. ทำไมต้องมีการปรับตั้งศูนย์ล้อ

    เพราะการที่รถมีศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ยางเกิดการสึกที่ผิดปกติแล้วยังมีผลต่อระบบควบคุมบังคับทิศทางของรถด้วย ดังนั้น หากรถของท่านที่มีอาการผิดปกติในการควบคุมบังคับทิศทางของรถ หรือท่านสังเกตุเห็นว่ายางที่ใช้อยู่มีลักษณะสึกที่ไม่สม่ำเสมอ หรือผิดปกติ ก็สามารถบ่งชี้ได้ว่าศูนย์ล้อรถของท่านจำเป็นต้องได้รับการตรวจเช็ค และปรับตั้งศูนย์ล้อแล้ว และแม้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ท่านจะต้องใช้ในการซื้อยางชุดใหม่ ซ่อมแซมช่วงล่าง และที่สำคัญคืออันตราย อันอาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพย์สินและชีวิตของท่าน
  9. มีคำแนะนำอย่างไร เมื่อต้องการเปลี่ยนยางชุดใหม่

    ในการเลือกยางรถยนต์สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ประเภทรถยนต์ รถยนต์หนัก รถยนต์เบา สมรรถนะความเร็วรถ ความเร็วปกติ ความเร็วสูง
    ลักษณะการขับขี่ ขับช้า ขับเร็ว หรือขับเร็วมาก สภาพพื้นผิวถนน ถนนเรียบ ถนนขรุขระ ถนนทราย สภาพภูมิอากาศ ร้อน หนาว ฝนตกชุก
    ใช้ยางกับกะทะล้อให้ถูกต้องตามที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตรถยนต์
    และกะทะที่ใช้จะต้องไม่บิดเบี้ยว หรือเป็นสนิม

    อย่าเลือกใช้ยางที่มีขนาดเล็กกว่ายางที่ติดรถมา ทั้งนี้เพราะยางที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมมีประสิทธิภาพในการรับน้ำหนักบรรทุกได้น้อยกว่า (รวมทั้งน้ำหนักตัวรถด้วย) ฉะนั้น ควรใช้ยางให้ถูกตามขนาดที่กำหนดโดยโรงงานผู้ผลิตหรือตามคำแนะนำจากร้านจำหน่ายยางที่ชำนาญงานเท่านั้น

    ควรใช้ยางชนิดเดียวกัน ดอกเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการขับขี่อย่างเต็มที่ ท่านควรตระหนักว่า ยางต่างชนิดกัน ย่อมมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน และมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่แตกต่างกันด้วย
    อนึ่ง หากท่านมีความจำเป็นต้องใช้ยางที่ต่างชนิด หรือดอกยางต่างกัน
    ก็ควรจะใช้ยางชนิดหรือดอกเดียวกันในเพลาเดียวกัน

    หากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยางต่างขนาดกัน ให้ใช้ยางที่มีซีรีส์เท่ากันในเพลาเดียวกัน และให้ใช้ยางซีรีส์ต่ำกว่าเป็นยางหลัง ส่วนยางซีรีส์สูงกว่าเป็นยางหน้า

    เมื่อท่านเปลี่ยนยางใหม่แล้วท่านควรขับรถด้วยความระมัดระวังเพื่อให้ชินกับยางชุดใหม่เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เบรครถ เร่งความเร็วรถ เข้าโค้ง หรือใช้รถขณะฝนตก ทั้งนี้เพราะยางชุดใหม่อาจให้ความรู้สึกที่ผิดไปจากยางชุดเก่าที่ท่านเคยใช้

    ข้อควรระวัง เกี่ยวกับความปลอดภัย การถอดหรือใส่ยางเข้ากะทะล้อ ควรกระทำโดยผู้ชำนาญงานเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดความเสียหาย และอันตรายขณะถอดใส่ได้
  10. จะทำอย่างไรเมื่อรถเกิดอาการสั่นสะท้าน

    อาการสั่นสะท้านย่อมแสดงว่า มีสิ่งผิดปกติกับรถที่ใช้อยู่และควรได้รับการแก้ไขโดยทันที มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อยางที่ใช้ระบบช่วงล่าง ตลอดจนระบบพวงมาลัย เมื่อเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้น ท่านควรตรวจเช็คการสึกของยาง เพราะลักษณะการสึกจะทำให้ท่านพอทราบถึงสาเหตุของการสั่นสะท้าน และวิธีการป้องกัน
  11. นิสัยการขับรถมีผลต่อการสึกของยางหรือไม่

    นิสัยการขับรถของแต่ละท่าน จะมีผลต่อการสึกของยางก่อนกำหนด
    ฉะนั้นเพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานของรถ ท่านควรหลีกเลี่ยงนิสัยการขับต่อไปนี้ ออกรถ และหยุดรถอย่างรุนแรง การหักเลี้ยวอย่างรุนแรง การขับรถปีนขอบถนน ขับเบียดฟุตบาท การขับโดยไม่หลบหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง

ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์
1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง
ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก
เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย

ที่มา : goodyear.co.th

Tags: , | edit post
0 Responses

Post a Comment