MKT Team
รถยนต์คือ
เครื่องยนต์ จะใช้ขนาด 1800 cc. 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว วัฎจักร atkinson vvt-I
กำลังสูงสุด 73 kw (99 ps) ที่5200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบต่อนาที
ด้านมอเตอร์เจนเนอเรเตอร์ จะมีกำลังสูงสุด 60 kw(82 ps) ทางด้านแรงบิดจะมีถึง 207 นิวตันเมตร แต่ถ้าเครื่องยนต์บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะได้กำลังสูงสุดถึง 100 kw (136 ps) เลยทีเดียว ซึ่งมีกำลังที่เพียงพอรวมถึงการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย ตัวเครื่องยนต์จะไร้ซึ่งสายพาน ดังนั้น แรงฉุดที่จะมากระทำหรือภาระที่มีผลต่อเครื่องยนต์ก็จะดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมืองตกประมาณ ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตรกันเลยทีเดียว ทางด้านการปล่อยไอเสียผ่านมาตรฐาน Euro ระดับที่ 5 น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ ตั้งแต่ E10 ขึ้นไป (อี 20 ยังใช้ไม่ได้)
ทางด้านแบตเตอรี่ไฮบริด จะใช้ชนิดนิกเกิ้ลเมทัลไฮดราย ที่มีแรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ มี 28 โมดูล หากเทียบกับ camry จะมีน้อยกว่า เพราะcamry มีแรงดันไฟฟ้า 244.8 โวลต์ มี 34 โมดูล ซึ่งจะแตกต่างกันนั่นเอง ทางด้านการรับประกันในส่วนแบตเตอรี่ไฮบริดนั้น 5 ปี โดยที่ไม่จำกัดระยะทาง
การขับเคลื่อน จะใช้ระบบส่งกำลังแบบ E – CVT เหมือนที่อยู่ใน camry hybrid แต่มีการเลือกรูปแบบการขับขี่ได้คือ 1 EV 2 ECO MODE 3 PWR MODE แต่ละอย่างนั้นมีการทำงานที่ต่างกันแล้วแต่ผู้ขับขี่ต้องการนั่นเอง
คันเข้าเกียร์จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอาจดูแปลกตากันไปบ้าง ที่แน่ๆสะดวกสบายทันสมัย เบาแรง เข้าเกียร์ง่าย การที่จะเข้าเกียร์ผิดตำแหน่งจะกระทำไม่ได้เลย นอกจากนั้นเงื่อนไขในการทำงานผู้ขับขี่จะต้องทำความเข้าใจเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดจะแสดงบนที่มาตรวัดเพื่อให้ผู้ขับขี่ทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เป็นต้น ผสมผสานกับช่วงล่างทางด้านหน้าแบบเมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ในส่วนของเบรกก็เป็นดีสเบรกทั้งสี่ล้อ ประสิทธิภาพของการเบรกมั่นใจได้เลยว่าสุดยอด หากมีการเบรกแบบกะทันหัน ไฟเบรกท้ายจะมีการทำงานแบบกระพริบทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การบังคับเลี้ยวจะเป็นแบบไฟฟ้า(eps) หากมีการจอดรถบนทางชัน จะมีการทำงานของระบบ HAC ไม่ให้รถมีการเลื่อนไถลขณะออกตัวบนทางชันนั่นเอง จะเหมือนกับรถยนต์ ALPHARD และ LANDCRUISER PRADO เงื่อนไขการทำงาน จะต้องศึกษาเพิ่มเติมเล็กน้อย

มาดูกันที่มิติของรถยนต์ มีความยาวของทั้งหมด 4.46 เมตร กว้าง 1.745 เมตร และสูง 1.49 เมตร เรียกได้ว่ามีการออกแบบได้อย่างลงตัวทีเดียว รัศมีวงเลี้ยวแค่ 5.2 เมตร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน เท่ากับ cd 0.25 เท่านั้น ทำให้การเคลื่อนที่ของรถรวมถึงการทรงตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย การบรรทุกสัมภาระทางด้านท้ายสามารถจุได้ถึง 445 ลิตร ถือว่าไม่น้อยเลย ความจุของถังน้ำมันเชื้อเพลิงก็ 45 ลิตร เรียกได้ว่า หากใช้งานตามเงื่อนไขแทบจะลืมการเติมน้ำมันกันเลยทีเดียว

ถัดมาในเรื่องของอุปกรณ์ภายนอกที่มีให้ใน prius hybrid เริ่มที่ ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED จะออกแนวๆสีฟ้าพิเศษ มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไฟประเภทนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ส่วนหนึ่ง ยังไม่หมดแค่นั้น ยังสามารถปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ และเปิด-ปิดอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นรุ่น top ก็จะมีระบบทำความสะอาดไฟหน้า (pop-up type) มาพร้อมกับตัวรถอีกด้วย กระจกมองข้างเป็นแบบลดการเกาะตัวของหยดน้ำ (hydrophilllic) แต่ก็มีสิ่งที่เหนือชั้นคือ กระจกมองข้างจะ มีระบบไล่ฝ้าให้มาอีกด้วยนะครับ ทางด้านของปัดน้ำฝนด้านหน้าจะเป็นแบบอัตโนมัติส่วนทางด้านท้ายจะเป็นแบบหน่วงเวลาที่ดูเข้ากันกับสปอยร์เลอร์หลังที่ดูโดดเด่นมองเห็นอยู่ทางท้ายรถ
อุปกรณ์ภายในขอนำเสนอที่เด่นๆและเน้นๆใน prius hybrid ได้แก่

- พวงมาลัยหนังแบบ 4 ก้าน

- หน้าต่างไฟฟ้ามาพร้อมระบบป้องกันกระจกหนีบทั้ง 4 บาน

- ไฟเอนกประสงค์มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น ไฟส่องสว่างที่เท้าคู่หน้าก็มีมาให้พร้อมสรรพ ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารก็เป็นแบบอัตโนมัติ กระจกมองหลังก็เป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ วัสดุหุ้มเบาะประเภทหนังแท้สีเทา ในรุ่น top ส่วนในรุ่นรองเบาะจะเป็นวัสดุคล้ายกำมะหยี่ ตำแหน่งผู้ขับจะมีชุดดันหลังมาให้ด้วย เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับแยกได้ ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีระบบขจัดฝุ่นละอองที่เหมือนกับรถยนต์ Alphard ที่เบาะคู่หน้าจะมีระบบอุ่นเบาะมาให้ด้วยในรุ่น top ซึ่งจะช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อของร่างกายได้

มาดูกันต่อ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกกันบ้างที่มีให้ ใน prius hybrid เริ่มด้วย push start ที่มีอยู่ในรถยนต์ระดับหรู บวกกับ smart entry ที่อำนวยความสะดวกอย่างมากในการเข้ารถยนต์โดยไม่ใช้กุญแจจะมีด้วยกันถึง 3 ตำแหน่ง (ประตูหน้าซ้าย และขวา, และประตูท้าย) แล้วยังมีระบบการล็อคแบบ 2 ชั้นซึ่งจะเปิดประตูไม่ออกเลยถ้ามีการล็อคไว้เพียงแค่การสัมผัสเท่านั้น ถัดมาก็จอแสดงผลการขับขี่อยากจะบอกว่าในรถยนต์ prius hybrid ไม่ธรรมดาเลย เพราะตำแหน่งของมาตรวัดจะอยู่บริเวณคอนโซลหน้าตรงกลาง สามารถควบคุมและสั่งการได้อย่างง่ายดายโดยผู้ขับขี่ส่งผลให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ขออนุญาตกล่าวถึงรายละเอียดบนหน้าจอสักเล็กน้อยโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 อยู่ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นการแสดงสัญลักษณ์ที่เหมือนกับรถยนต์ทั่วๆไป

กลุ่มที่ 2 อยู่ตรงกลางของมาตรวัดเลย เป็นการแสดงผลการทำงานและการขับขี่รถยนต์ไฮบริด (advance multi-display zone) ซึ่งจะมีรายละเอียดต่างๆที่มากมายได้แก่

แสดงการทำงานหรือสถานะการทำงานของระบบไฮบริด (energy moniter)
แสดงผลการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (hybrid system indicator)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลือง 1 นาที/ 5 นาที (1 min/ 5 min consumption record)
แสดงผลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ของการขับขี่ที่กำหนดไว้พร้อมแสดงผลที่ดีที่สุด (past trip fuel consumption record)
กลุ่มที่ 3 อยู่ทางด้านขวามือของมาตรวัดเป็นการแสดงข้อมูลการขับขี่ทั่วไปและข้อมูลการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆได้โดยเพียงสัมผัสเพียงเบาๆเท่านั้นที่สวิทซ์ที่พวงมาลัย

ดังนั้นข้อมูลที่ต้องการจะทราบสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมกับการที่จะเลือกสามารถกระทำได้แบบไม่ยากเย็นได้ตามความต้องการ

มาดูกันต่อที่พวงมาลัยสามารถควบคุมระบบปรับอากาศ ,ควบคุมเครื่องเสียง ,โทรศัพท์ , รวมถึงความเร็วคงที่ได้โดยสะดวกสำหรับผู้ขับขี่ ไม่ต้องละสายตาจากเส้นทางมากนักทำให้มีความปลอดภัยเช่นกัน สิ่งอำนวยความสะดวกอีกชิ้นหนึ่งคือ สามารถเลือกระบบของการขับขี่ได้แบบ 3 ฟังก์ชั่น (power , eco , ev mode) ได้ตามความต้องการของท่าน ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการแสดงผลการขับขี่แบบอัจฉริยะบนกระจกบังลมหน้า HUD (hand-up display) ได้แก่ ความเร็วรถยนต์, และแสดงผลการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(hybrid system indicator)ทางด้านความบันเทิง ในส่วนของเครื่องเสียง ในรุ่น top จะเป็นแบบ 6cd และ 1cd ในรุ่นรอง ลำโพงทั้งหมดที่มีให้ก็ 8 ลำโพง ควบคุมการทำงานได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีระบบที่รองรับในอนาคตอีกด้วย ทางด้านการเชื่อมต่อ Bluetooth ผ่านทางเครื่องเสียงก็สามารถกระทำได้เช่นกัน

มาดูทางด้านความปลอดภัยกันบ้าง เริ่มด้วยไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ไฟท้ายแบบ LED เลนส์ใส นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่เหนือระดับ คือ หากมีการเบรกแบบกะทันหันไฟเบรกท้ายจะกระพริบ ส่วนระบบ ABS EBD VSC TRC ก็ให้มาอย่างครบชุด ถุงลมนิรภัยรอบคัน ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง อยู่ที่คู่หน้า ด้านข้าง ผ้าม่านด้านข้างและหัวเข่าผู้ขับขี่ ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้ายังมีระบบที่ช่วยลดการกระแทก ระบบป้องกันการโจรกรรม TDS และ immobilizer ยังไม่พอ ยังมีระบบล็อค 2 ชั้นอีกต่างหาก โครงสร้างตัวถังแบบ GOA อันลือชื่อจากโตโยต้า

ในเรื่องของสีที่มีให้เลือก ได้แก่

1. Blackish mica

2. HV Blue

3. Silver Metallic

4. Black

5. White Pearl เฉพาะรุ่น top เท่านั้น

ทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในรถยนต์ prius hybrid ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
ดังนั้น จึงเรียนเชิญมาสัมผัสกับตัวรถจริง ที่ตัวแทนจำหน่ายโตโยต้า ทั่วประเทศหรือ สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ www.toyotabuzz.com หรือ ฝากข้อความำถามไว้ที่ Facebook ของพวกเราชาวบัสส์
0 Responses

Post a Comment